12/28/2553

สารสกัดใบหม่อน ช่วยเพิ่มสมรรถภาพของร่างกาย

จากการศึกษาล่าสุด ของสถาบันวิจัยสมุนไพรร่วมกับคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น พบว่า สารสกัดจากใบหม่อนช่วยให้ร่างกายมีสมรรถภาพดีขึ้น ดังนี้

- สมรรถภาพทางกายและจิตดีขึ้น

- มีการทรงตัวได้ดีขึ้น

- กล้ามเนื้อต้นขามีความแข็งแรงมากขึ้น จึงช่วยลดความเสี่ยงในการหกล้ม

- มีการเรียนรู้และความจำใช้งาน (working memory) เพิ่มขึ้น ทำให้มีความสนใจต่อสิ่งเร้าและนำข้อมูลมาประมวลผลในกระบวนการระยะต่างๆ ของความจำได้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น รวมถึงยังมีผลต่อการเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการบูรณาการข้อมูลในกระบวนการเรียนรู้และจดจำ (congnitive processing)

นอกจากนี้สารสกัดใบหม่อนยังมีฤทธิ์ลดอาการซึมเศร้า และกลุ่มอาการวิตกกังวล จึงมีศักยภาพในการนำไปประยุกต์ใช้ในรูปผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพผู้สูงอายุทั้งในภาวะปกติ และนำไปใช้เสริมการรักษา (adjuvant therapy) ได้ด้วย ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์ต่อการแพทย์และสาธารณสุข รวมถึงเป็นการส่งเสริมอุตสาหกรรมสมุนไพรไทยอีกด้วย

ข้อมูลจาก Health Today

12/22/2553

"อึ" ตัวบ่งชี้สุขภาพ

ตรวจดู "อึ" ของคุณเดี๋ยวนี้ จริงอยู่แม้จะไม่ใช่เรื่องพิสมัยที่ใครๆ อยากพูดถึง แต่รายละเอียดในอุจจาระคือตัวชี้วัดที่มีค่าต่อสุขภาพ ลองตรวจดูอุจจาระที่ติดอยู่บนกระดาษชำระ หรือในโถชักโครกอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง และต้องจำให้ได้ว่าคุณกินอะไรเมื่อ 2-3 วันก่อนหน้านี้

อุจจาระที่ดีควรมีลักษณะนุ่ม สีน้ำตาลปานกลาง มีปริมาณมาก ถ่ายคล่อง แยกออกเป็นท่อนๆ เมื่อตกถึงน้ำ ลอยหรือจมช้า ชำระล้างได้ง่ายเมื่อกดชักโครก แต่หากอุจจาระผิดแปลกไปจากที่กล่าวมานี้ นั่นบ่งชี้ว่า

- อุจจาระสีดำหรือสีคล้ำ เกิดจากการมีเลือดไหลออกในกระเพาะ หรือ อาจเกิดจากการกินชะเอมเมื่อเร็วๆนี้ หรือกินอาหารเสริมจำพวกธาตุเหล็ก นอกจากนี้บีทรูทหรือบลูเบอร์รี่ก็ทำให้อุจจาระมีสีม่วงปน

- อุจจาระสีเหลืองหรือเขียว แสดงว่ามีความผิดปกติเกี่ยวกับตับหรือถุงน้ำดี ท้องเสีย หรือเกิดจากผลข้างเคียงของยาปฏิชีวนะ หรือกินแกงกะหรี่เมื่อวานนี้

- อุจจาระสีน้ำตาลไหม้ สีเทา หรือสีอ่อนๆ ชี้ว่าท่อน้ำดีอุดตัน การดูดซึมไขมันไม่ดีหรือมีปัญหาที่ตับอ่อน

- อุจจาระสีแดงเข้ม ชี้ว่ามีเลือดออกในลำไส้ใหญ่ หรือเป็นสัญญาณเตือนว่าเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่

- อุจจาระเป็นมูกหรือเป็นหนอง บ่งชี้ว่าอาจเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคติ่งถุงเนื้ออักเสบในลำไส้ใหญ่ โรคลำไส้แปรปรวน หรือ กินอาหารจำพวกผลิตภัณฑ์นมมากเกินไป

- อุจจาระมีเลือดสดๆ แสดงว่าเป็นริดสีดวงทวาร หรือแผลปริที่ทวารหนัก

อุจจาระทุกชนิดมีกลิ่นเหม็น แต่ถ้าอุจจาระของคุณแข็งและใช้เวลาเบ่งนานเป็นประจำ นั่นแสดงว่ามีอาหารตกค้างอยู่ในส่วนปลายของระบบย่อยอาหารนานเกินไป หรือร่างกายของคุณขาดแบคทีเรียที่เป็นมิตร

ข้อมูลจาก Health plus

รองเท้าส้นสูงส่งผลเสียต่อหญิงตั้งครรภ์

ผู้หญิงตั้งครรภ์กำลังเสี่ยงกับการทำร้ายเท้าตัวเองเพียงเพราะใส่รองเท้าผิดประเภท จากผลการสำรวจหญิงตั้งท้อง 1,000 คน พบว่า รองเท้าที่พวกเธอสวมใส่ เช่น รองเท้าแตะ ส้นสูง บูท ไม่เอื้ออำนวยต่อสุขภาพเท้า ครึ่งหนึ่งของสาวที่ถุกสำรวจมีความรู้สึกกดดันที่ต้องใส่รองเท้าตามแฟชั่นล่าสุดของเหล่าคนดัง นอกจากนี้ ผู้หญิง 7 จาก 10 คนยอมรับว่าเธอมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพเท้าขณะตตั้งครรภ์ อาทิเช่น ข้อเท้าและเท้าบวม และการปวดส้นเท้า ลอเรน โจนส์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาโรคเกี่ยวกับเท้า กล่าวว่าสาวๆ ตั้งท้องทั้งหลายควรหลีกเลี่ยงรองเท้าส้นสูงซึ่งนอกจากจะทำให้ท่าเดินของเราเปลี่ยน ยังส่งผลเสียต่อกล้ามเนื้อน่องและสร้างความเหนื่อยล้าต่อหลังและหัวเข่าด้วย ทางที่ดีสาวๆ ควรหันมาใส่รองเท้าพื้นกว้างที่รับน้ำหนักตตัวได้ดี หากจะใส่ส้นสูงก็เอาไว้ใส่ในโอกาสพิเศษหรือควรใส่รองเท้าที่ส้นสูงไม่เกิน 3 เซ็น

ข้อมูลจาก Health plus

11/29/2553

รับประทานข้าวขาวเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน

ทีมนักวิจัยของมหาวิทยาลัย ฮาร์เวิร์ด ค้นพบว่าผู้ที่รับประทานข้าวขาวในปริมาณมากเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน ในขณะเดียวกัน การรับประทานข้าวซ้อมมือกลับช่วยลดการเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวาน การเปลี่ยนนิสัยการรับประทานข้าวจากข้าวขาวเป็นข้าวซ้อมมือสามารถลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานได้ถึง 16% นอกจากนี้การเปลี่ยนไปรับประทานอาหารโฮลเกรนทุกชนิด อย่างเช่น เส้นพาสต้า, ข้าวกล้องและขนมปังธัญพืช แทนข้าวขาวสามารถลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานได้ถึง 36% อย่างที่รู้ๆกันอยู่แล้ว ข้าวสีน้ำตาล (ข้าวซ้อมมือ) มีเปลือกของรำข้าวที่มีประโยชน์ต่อร่างกายซึ่งเปลือกนี้ต้องถูกขัดออกในขบวนการผลิตข้าวขาว แต่ในความเป็นจริงแล้ว 70% ของผู้ที่บริโภคข้าวในประเทศที่พัฒนาแล้วยังรับประทานข้าวขาว เป็นเรื่องที่น่าดีใจและน่าสนับสนุนที่ประชากรไทยของเราเริ่มหันมาฮิตรับประทานข้าวซ้อมมือหรือข้าวแดงกันแล้ว

ข้อมูลจาก นิตยสาร Health plus

11/16/2553

ดาร์คช็อกโกแลต ชะลอแก่

เราคงเคยทราบมาบ้างว่า ดาร์คช็อกโกแลตที่ค่อนข้างขม ไม่มีนมเนยและหวานเลี่ยนนั้น อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดความดันโลหิตและลดอัตราความเสี่ยงการเป็นเส้นเลือดหัวใจตีบ ดังนั้นบริษัทที่ผลิตช็อกโกแลตในท้องตลาด จึงเน้นกานผลิตช็อกโกแลตเพื่อสุขภาพและช็อกโกแลตแบบออร์แกนิค และล่าสุดมีการผลิตดาร์คช็อกโกแลตที่เข้มข้นด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ "ฟวาวานอยด์" ให้มากขึ้นกว่าเดิม เพื่อเพิ่มยอดขาย โดยหากกินเพียง 20 กรัมต่อวัน จะสามารถชะลอวัย ทำให้ผิวใสขึ้น อีกทั้งกระตุ้นให้เกิดความชุ่มชื้นของผิว และลดรอยเหี่ยวย่นได้ ซึ่งทำให้คนที่ชื่นชอบช็อกโกแลตดีใจเพราะได้กินของโปรดและดีต่อสุขภาพกายและผิวด้วย

นอกจากนี้ช็อกโกแลต ยังช่วยลดความเดรียดได้ด้วย เนื่องจากในช็อกโกแลตมีสารที่เรียกว่า Phenylethylamine ปกติสารเคมีตัวนี้สมองจะหลั่งออกมาขณะที่คนคนนั้นเกิดความรัก และจากการวิจัยพบว่า การกินดาร์คช็อกโกแลต จำนวนออนซ์ครึ่งทุกวันเป็นเวลา 2 สัปดาห์ จะช่วยลดระดับฮความเครียดให้ลดลงได้ค่ะ

ข้อมูลจาก นิตยสาร Be well

เมื่อประจำเดือนไม่มา...

อาการประจำเดือนมาไม่ปกติ อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความผิดปกติได้ค่ะ หากใครเข้าข่ายนี้ ลองสำรวจตัวเอง ตลอดจนปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ซึ่งอาจมีผลทำให้ประจำเดือนไม่มาได้เช่นกัน

ประจำเดือนไม่มา
- ถ้าคุณแทบจะไม่เคยมีปัญหาเรื่องประจำเดือนมาผิดปกติมาก่อน แต่แล้วหลังจากมีเพศสัมพันธ์กับคู่ของคุณ ปรากฏว่าประจำเดือนของคุณขาด เป็นไปได้ว่าคุณอาจจะ ตั้งครรภ์ ถ้าสงสัยว่าจะมาจากสาเหตุนี้หรือไม่ ก็ให้ไปซื้อแผ่นทดสอบการตั้งครรภ์มาตรวจ หรือไปพบแพทย์ก็ได้เช่นกันค่ะ

- ถ้าคุณแทบจะไม่เคยมีปัญหาเรื่องประจำเดือนมาก่อน และคุณก็ไม่ได้มีเพศสัมพันธ์ด้วย หรือถึงมีคุณก็แน่ใจว่าได้ป้องกันอย่างรัดกุมแล้ว (จึงไม่น่าจะตั้งครรภ์ได้) แต่ประจำเดือนก็ขาดเสียนี่ ถ้าเป็นเช่นนี้ ก็ลองทบทวนดูสักนิดสิว่า คุณได้รับประทานยา หรือทำอะไรที่ทำให้ฮอร์โมนในร่างกายมีความแปรปรวนจากปกติหรือไม่ เช่น การรับประทานยาคุมกำเนิด ฉีดยาคุมกำเนิด เหล่านี้เป็นต้น เพราะนั่นก็อาจจะทำให้ประจำเดือนของคุณขาดได้เช่นกัน

- สตรีหลังคลอดบุตร และอยู่ในระหว่างให้นมบุตรบางคนก็มีภาวะประจำเดือนขาดได้เช่นกัน

- อาการประจำเดือนขาดอาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นจากการมีเนื้องอกของต่อมใต้สมอง หรือต่อมหมวกไตหรือมะเร็งรังไข่ อย่างไรก็ตาม อาการประจำเดือนขาดจากกรณีเหล่านี้พบได้น้อย

- ประจำเดือนไม่มี โดยปกติผู้หญิงจะมีประจำเดือนครั้งแรกใในช่วงอายุ 11-14 ปี หากเลยวัยนี้ไปแล้วประจำเดือนยังไม่มีทีท่าว่าจะมา ก็ถือว่าผิดปกติค่ะ โดยความผิดปกติอาจจะมีสาเหตุมาจาก ฮอร์โมนของคุณทำงานผิดปกติ แต่กรณีนี้ไม่อันตรายอะไรมากนัก เพราะเป็นไปได้ว่าคุณอาจเข้าสู่วัยเจริญพันธู์ได้ช้ากว่าที่ควรจะเป็น ถ้าไม่ใจร้อนมากนักคุณอาจรอไปก่อนจนถึงอายุ 16 ปี หากถึงเวลานั้นประจำเดือนยังไม่มา ก็ต้องหาสาเหตุอื่นๆต่อไปค่ะ หรืออีกสาเหตุที่อาจเป็นไปได้ คือองค์ประกอบของอวัยวะเพศของคุณอาจมีความผิดปกติบางอย่าง เช่น ช่องคลอดไม่เปิด ไม่มีมดลูก ไม่มีรังไข่ ซึ่งความผิดปกตินี้ เป็นความผิดปกติที่เป็นมาแล้วแต่กำเนิด แต่ส่วนใหญ่จะมารู้เอาก็ต่อเมื่อถึงวัยเจริญพันธุ์แต่ยังไม่มีประจำเดือนเสียทีก็เลยไปให้คุณหมอตรวจนั่นล่ะค่ะ

ข้อมูลจาก นิตยสาร Be Well

10/12/2553

บุหรี่...ภัยร้ายของผู้หญิง



ผู้หญิงสูบบุหรี่ อันตรายยิ่งกว่าผู้ชาย

บุหรี่ นอกจากจะมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ เช่น โรคมะเร็งปอด โรคถุงลมโป่งพอง โรคหัวใจ ได้เช่นเดียวกับเพศชายแล้วยังมีโอกาสเสียชีวิตในวัยกลางคนถึงร้อยละ 50 และอายุเฉลี่ยจะสั้นลงประมาณ 10 ปี มีอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งปากมดลูกและมะเร็งเต้านมเพิ่มขึ้นสูงกว่าผู้หญิงทั่วไปที่ไม่ได้สูบบุหรี่ถึง 4 เท่า

นอกจากนี้ผู้หญิงที่สูบบุหรี่พบว่าจะมีโอกาสตั้งครรภ์ช้าหรือไม่มีบุตรมากกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ถึง 3 เท่าและถ้าสูบบุหรี่พร้อมกับกินยาคุมกำเนิดเป็นประจำจะมีโอกาสเกิดอาการหลอดเลือดหัวใจตีบเฉียบพลันหรือหัวใจวายสูงขึ้น 39 เท่า และมีอัตราการตายมากกว่าผู้ไม่สูบบุหรี่ที่กินยาคุมกำเนิดถึง 3 เท่าตัว เพราะการสูบบุหรี่จะทำให้ร่างกายได้รับสารพิษที่ทำปฏิกิริยากับยาคุมกำเนิดมีผลให้เลือดแข็งตัวง่ายและเกิดการอุดตันของหลอดเลือดโดยเฉพาะหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจและสมอง

ยิ่งไปกว่านั้นควันบุหรี่ยังมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อทารกในครรภ์ โดยในมารดาที่สูบบุหรี่หรือได้รับควันบุหรี่ พบว่าจะมีโอกาสแท้งบุตรเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า มีโอกาสเกิดภาวะรกเกาะต่ำคลอดก่อนกำหนด เด็กในครรภ์มีการเติบโตช้าและทารกมีโอกาสเสียชีวิตในขณะแรกคลอดสูงขึ้นมากจากการได้รับสารพิษจากบุหรี่ที่จะถ่ายทอดจากกระแสเลือดของแม่ผ่านมายังทารกโดยตรง

บุหรี่ทำลายความงาน

การสูบบุหรี่นอกจากจะก่อให้เกิดโรคภัยต่างๆ แล้วยังเป็นตัวการทำลายความสวยความงามได้เช่นกัน เมื่อผู้หญิงที่สูบบุหรี่เป็นประจำจะทำให้ใบหน้าดูแก่ก่อนวัยให้เกิดริ้วรอยตีนกาที่หางตาและเป็นรอยเหี่ยวย่นที่มุมปากรวมถึงอาจมีเส้นลึกที่โหนกแก้มอีกด้วย เพราะผู้ที่สูบบุหรี่มักจะต้องหรี่ตาเวลาพ่นควันออกมาเพื่อกันไม่ให้ควันบุหรี่เข้าตา เมื่อทำลักษณะเช่นนี้นานๆ เข้าจึงทำให้เกิดรอยตีนกาขึ้นได้ และริมฝีปากของผู้สูบบุหรี่มีสีคล้ำกว่าปกติเพราะนิโคตินในบุหรี่จะทำให้หลอดเลือดฝอยทั่วร่างกายหดตัวตลอดเวลาและมีผลให้เลือดไปเลี้ยงผิวหนังลดน้อยลงอีก ทั้งก่อให้เกิดความรำคาญทำให้เสื้อผ้าและผมมีกลิ่นบุหรี่ติดอีกด้วย
บุหรี่เป็นตัวการทำให้อ้วน
เนื่องจากสารพิษหลายชนิดในควันบุหรี่จะทำให้ต่อมรับรสตามลิ้นไม่สามารรับรู้รสชาติอาหารได้เหมือนปกติแต่เมื่อหยุดสูบเมื่อไหร่ การทำงานของต่อมรับรสอาหารจะกลับคืนสู่ปกติทำให้กินอาหารอร่อย กินได้มากขึ้นและถูกเผาผลาญในอัตราปกติ เมื่อหยุดสูบบุหรี่จึงมีแนวโน้มจะมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะผู้ที่ไม่ควบคุมอาหาร จึงเกิดความกังวลใจกลัวน้ำหนักตัวจะเพิ่มขึ้นก็เลยหันกลับไปสูบบุหรี่อีกครั้ง
วิธีเลิกบุหรี่สำหรับผู้หญิง
1. รวบรวมความตั้งใจให้เข้มแข็งเข้า และกำหนดวันที่จะเลิกอย่างเด็ดขาด
2. เมื่อถึงวันนั้น ทิ้งบุหรี่และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องให้หมด ลดความดึงดูดความสนใจและพร้อมให้สัญญากับตัวเองว่าจะไม่หันมาสูบอีก
3. หากหงุดหงิดอยากสูบบุหรี่ ให้ดื่มน้ำ สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ หรือหากิจกรรมที่สร้างสรรค์ทำเช่น เล่นกีฬา ออกกำลังกาย เต้นรำ เป็นต้น
4. เมื่อหยุดสูบบุหรี่อย่าไปกังวลเรื่องน้ำหนักตัวให้ระวังอย่ากินอาหารมากเกินไปโดยเฉพาะของจุบจิบประเภทขนมหรือของหวาน เพิ่มการออกกำลังกายให้สม่ำเสมอเพื่อให้รางกายได้เผาผลาญพลังงาน
5. งดชา กาแฟ และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
6. อย่าหวั่นไหว คิดว่าสูบเพียงนิดหน่อยไม่เป็นไร
7. หากไปกินอาหารนอกบ้าน ให้มองหาร้านอาหารปลอดบุหรี่ หรือเลือกสถานที่ที่เป็นเขตปลอดบุหรี่เพื่อลดการกระตุ้นการอยากสูบบุหรี่และลดการสูดดมควันซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพ
จากพิษภัยที่ร้ายแรงจากการสูบบุหรี่ของผู้หญิงส่งผลให้ร่างกายเสื่อมสภาพและยังเป็นตัวฉุดความสวยให้กับสาวๆถึงเวลาแล้วที่ผู้หญิงยุคใหม่ต้องชนะใจตัวเองไม่ตกเป็นทาสของบุหรี่เพื่อชีวิตและบุคลิกภาพที่ดี
ข้อมูลจาก นิตยสารผู้หญิง

8/25/2553

มะเร็งจิสต์ โรคใหม่ใกล้ตัว

มะเร็งเนื้อเยื่อระบบทางเดินอาหาร หรือ "มะเร็งจิสต์" (Gastrointestinal Stromal Tumor: GIST) เป็นมะเร็งระบบทางเดินอาหารที่เพิ่งเป็นที่รู้จักเมื่อ 6 ปีก่อน และคนไทยมีแนวโน้มจะเป็นกันมากขึ้นทั้งผู้ชายและผู้หญิง ในอดีตมะเร็งจิสต์มักถูกวินิจฉัยผิดเป็นมะเร็ง "กล้ามเนื้อเรียบ" เพราะเกิดในระบบทางเดินอาหารและมีอาการของโรคคล้ายกัน แต่สาเหตุของมะเร็งจิสต์เกิดจากความผิดปกติของยีน c-kit และพบที่กระเพาะอาหารและลำไส้เล็กบ่อยที่สุด ไม่เกี่ยวกับอาหารหรือสารพิษที่เข้าสู่ร่างกายอย่างที่เคยเข้าใจ

อาการแสดงของมะเร็งจิสต์ขึ้นอยู่กับขนาด ตำแหน่ง และการแพร่กระจายของก้อนมะเร็ง อาการที่พบบ่อย เช่น ปวดท้อง มีก้อนในท้อง และเลือดออกในทางเดินอาหาร แต่ผู้ป่วยบางรายอาจไม่แสดงอาการใดๆ ให้รู้เลยก็ได้ การวินิจฉัยต้องตรวจโดยนำชิ้นเนื้อไปย้อมพิเศษ เรียกว่า IHC ซึ่งจะย้อมติด CD117

การผ่าตัดเป็นวิธีหลักในการรักษามะเร็งจิสต์ในกรณีโรคอยู่เฉพาะที่ ในกรณีที่โรคมีการแพร่กระจายหรือผ่าตัดไม่ได้อาจใช้ยาช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ซึ่งได้ผลดีถึงร้อยละ 70 แต่ข้อเสียคือค่าใช้จ่ายในการรักษาสูง เนื่องจากยามีราคาแพงมาก

หากคุณมีอาการปวดท้องรุนแรง คลำเจอก้อนเนื้อที่ท้อง มีเลือดออกในระบบทางเดินอาหาร อาเจียนเป็นเลือด หรือตัวซีด ให้รีบไปพบแพทย์ทันที เพราะนี่อาจเป็นสัญญาณเบื้องต้นของมะเร็งจิสต์ค่ะ

ข้อมูลจาก นพ.วิเชียร ศรีมุนินทร์นิมิต คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล

ที่มา นิตยสาร Health&Cuisine

8/06/2553

"โบท็อกซ์" อีกทางเลือกเพื่อลดริ้วรอย

การฉีดโบท๊อกซ์เพื่อลดริ้วรอยกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วในแวดวงสังคมชั้นสูงและดารานักแสดงต่างประเทศ ถึงขนาดมีงานเลี้ยงสังสรรค์ผู้ที่ได้รับการฉีดโบท๊อกซ์ ชื่อว่า "Botox Party"
แต่ในทางตรงกันข้าม ยังมีคนอีกมากที่รู้สึกกังขา และต้องการทราบข้อมูลที่ถูกต้องเพื่อช่วยในการตัดสินใจ

โบท็อกซ์ (Botox) เป็นชื่อการค้าของสารโบทูลินั่ม ท็อกซิน ชนิดเอ (Botulinum toxin type A) ที่ผลิตในสหรัฐอเมริกา ส่วนชนิดที่ผลิตในอังกฤษมีชื่อการค้าว่า ดีสพอร์ต (Dysport) แต่คนส่วนใหญ่เรียกกันว่าโบท็อกซ์จนติดปากไปเสียแล้ว

โบท็อกซ์สกัดมาจากแบคทีเรียชื่อ Clostridium Botulinum ผ่านกระบวนการทำให้บริสุทธิ์ มีฤทธิ์ช่วยคลายกล้ามเนื้อบนใบหน้าที่เป็นสาเหตุของการเกิดรอยย่น เนื่องจากการแสดงสีหน้าทางอารมณ์ซ้ำๆจนทำให้กล้ามเนื้อหดเกร็งตลอดเวลา เมื่อฉีดสารนี้แล้วกล้ามเนื้อจะคลายตัวเพราะไปยับยั้งสารเคมีที่ทำให้กล้ามเนื้อหดตัว ส่งผลให้ริ้วรอยต่างๆลดลง

ริ้วรอยที่รักษาแล้วได้ผลดี คือ ริ้วรอยบริเวณหน้าผาก รอยย่นระหว่างคิ้ว และรอยตีนกาที่หางตา นอกจากนี้ยังมีการนำโบท๊อกซ์มาใช้ฉีดยกคิ้ว ลดกรามในคนที่มีหน้าเหลี่ยม ลดกล้ามเนื้อน่องขา และลดอาการปวดศีรษะไมเกรนได้ด้วย ขณะฉีดจะรู้สึกเจ็บเพียงเล็กน้อยคล้ายมดกัด ใช้เวลารักษาประมาณ 5-10 นาที ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ต้องการฉีด หลังฉีดไม่ต้องพักฟื้น สามารถกลับไปทำงานต่อได้ทันที จะเริ่มเห็นผลหลังจากนั้นราว 2-7 วันและอยู่ได้นาน 3-4 เดือน เมื่อยาหมดฤทธิ์ริ้วรอยจะค่อยๆกลับมาเหมือนเดิม แต่ไม่แย่ลงกว่าเดิม

ผลข้างเคียงที่อาจพบได้ คือ รอยช้ำที่เกิดจากปลายเข็มฉีดยาซึ่งสามารถแต่งหน้ากลบได้ รอยจะค่อยๆหายไปเองใน 5-7 วัน นอกจากนี้ยังอาจพบกรณีคิ้วหรือหนังตาตกอันเนื่องมาจากการแพร่ของโบท็อกซ์ไปยังกล้ามเนื้อข้างเคียง ซึ่งอาการจะค่อยๆหายไปเองภายใน 3-4 สัปดาห์

การเตรียมตัวก่อนไปฉีดโบท็อกซ์ ควรงดรับประทานยาที่ทำให้เลือดแข็งตัวช้า เช่น แอสไพริน ก่อนฉีด 7 วัน เพื่อไม่ให้เกิดการช้ำมาก หลังฉีดโบท๊อกซ์ควรขยับกล้ามเนื้อที่รับการฉีดทุก 15 นาที เป็นเวลา 3 ชั่วโมง เช่น หากได้รับการฉีดที่หน้าผากให้เลิกคิ้ว ฉีดที่หว่างคิ้วให้ขมวดคิ้ว หรือฉีดบริเวณหางตาให้ยิ้ม ห้ามนอนราบหลังฉีด 3 ชั่วโมง และไม่ควรนวดหน้าในสัปดาห์แรก

ในแง่ของความปลอดภัย โบท็อกซ์ถือว่ามีความปลอดภัยสูง เพราะได้รับอนุญาตจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ปี ค.ศ.1989 เพื่อใช้ในการฉีดลดริ้วรอยเพื่อความสวยงาม

ส่วนในแง่ของสารพิษนั้น คำนวณดูแล้วปริมาณที่ใช้ในการรักษาถือว่าน้อยมากๆ จนไม่อาจเกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายต่อชีวิตได้ค่ะ

ข้อมูลจาก พญ.ปริมา เลาหธนาพร

7/29/2553

เป็นโรคเหงือก เสี่ยงมะเร็ง

ปากและฟันก็เป็นอีกระบบหนึ่งที่สัมพันธ์กับระบบอื่นๆ จากการศึกษาของแพทย์หญิงมายน์ ทีซัล จากสถาบันมะเร็งรอสเวลส์ ปาร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่า อาการเยื่อหุ้มฟันอักเสบเรื้อรังและโรคเหงือกและฟันสามารถนำไปสู่การเกิดมะเร็งได้

เนื่องจากโรคเหงือกและฟันอาจมีความเชื่อมโยงกับการกลายของเนื้อเยื่อในช่องปาก ไปเป็นเนื้องอก และการเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็วของเซลล์ระหว่างการอักเสบเรื้อรังส่งผลต่อลักษณะทางจุลกายวิภาคศาสตร์ของเนื้อเยื่อ

ทั้งนี้ การศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าเมื่อเป็นโรคเหงือกและฟันจะส่งผลต่อการเกิดมะเร็งที่บริเวณลำคอและศีรษะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปากและลำคอ โดยพบว่าความเสี่ยงโรคมะเร็งดังกล่าวจะสูงขึ้นเมื่อเป็นโรคเหงือกอักเสบเรื้อรังมาก่อน ไม่ว่าผู้ป่วยจะมีประวัติสูบบุหรี่หรือไม่ก็ตาม

อย่างไรก็ตามแพทย์หญิงมายน์ ทีซับแนะนำว่า หากกำลังเป็นโรคเกี่ยวกับเหงือกและฟันควรดูแลสุขภาพอนามัยในช่องปากให้ดี จะสามารถช่วยลดความเสี่ยงการเป็นมะเร็งบริเวณดังกล่าวได้

ข้อมูลจาก http://www.nlm.nih.gov/

7/28/2553

รู้ไม๊ว่า...การนอนหลับสำคัญแค่ไหน

ระหว่างที่เรานอนหลับนั้น จะเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายได้ขจัดของเสียออกจากเซลล์ มีการสร้างโปรตีนใหม่ๆ เพื่อซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ มีการหลั่งฮอร์โมนที่สำคัญต่อร่างกายคือโกรทฮอร์โมน ธัยรอยด์ฮอร์โมนและเมลาโทนิน

เราควรหลับอย่างมีคุณภาพให้ได้อย่างน้อย 7 ชั่วโมงต่อวัน
การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมได้เช่น ความก้าวร้าว ซึมเศร้า การนอนน้อยมีผลต่อความจำ

มีการวิจัยพบว่าการนอนน้อยอาจนำไปสู่โรคอ้วนได้ พบว่าในเด็กมัธยมที่นอนน้อยจะกินบ่อยและกินจุบกินจิบกว่าในเด็กที่ได้นอนเต็มอิ่ม เพราะการนอนน้อยทำให้ระดับฮอร์โมนที่ชื่อเลปตินลดลง ซึ่งเลปตินเป็นฮอร์โมนที่ควบคุมความอยากรับประทานอาหาร โดยเป็นตัวส่งสัญญาณไปยังสมองว่าอิ่มแล้ว

ผู้ที่นอนไม่หลับก็พยายามหลีกเลี่ยงการใช้ยานอนหลับเพราะทำให้สมองเสื่อมได้ ลองใช้วิธีต่างๆ เหล่านี้ดูนะคะ เช่น การออกไปรับแสงแดดยามเช้าสัก 30 นาทีทุกวัน การปรับแสงในห้องนอนให้มืดเพราะจะทำให้ฮอร์โมนที่ชื่อเมลาโทนินหลั่งออกมา ทำให้รู้สึกอยากนอน ปรับอุณหภูมิในห้องนอนให้เย็นหน่อย อย่าให้มีเสียงรบกวนในห้องนอน หลีกเลี่ยงเรื่องเครียดก่อนนอน งดเครื่องดื่มผสมคาเฟอีน ส่วนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และโทรศัพท์มือถือให้ปิดเสียหรืออย่าวางไว้ใกล้ตัว รวมทั้งอย่ารับประทานอาหารใกล้เวลานอนเพราะจะทำให้อาหารไม่ย่อยและทำให้ท้องอืด รบกวนการนอน

ข้อมูลจาก แพทย์หญิง ขวัญทิชา วงศ์วิชิตกุล

7/20/2553

สูตรพอกหน้าด้วยช็อกโกแลต


ไม่เพียงแต่ความอร่อยเท่านั้น แต่ช็อกโกแลตก็ช่วยให้สวยได้เหมือนกันนะคะ ส่วนผสมง่ายๆที่สามารถทำได้เอง เรามาดูวิธีการทำกันค่ะ

ส่วนผสม
ผงโกโก้ 1 ช้อนโต๊ะม น้ำผึ้ง 4 ช้อนโต๊ะ ครีมชนิดเข้มข้น (มีขายตามร้านอุปกรณ์เบเกอร๊๋) 1 ช้อนโต๊ะ และข้าวโอ๊ต 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
นำส่วนผสมทั้งหมดปั่นรวมกันในเครื่องปั่น จนได้เนื้อครีมข้นเหนียว จากนั้นล้างหน้าให้สะอาด ซับน้ำออกพอหมาดๆ แล้วทาครีมช็อกโกแลตลงไป ทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเปล่า

ง่ายๆ เพียงเท่านี้ ก็จะทำให้ผิวหน้าคุณชุ่มชื้นและสดใสค่ะ

7/09/2553

Good Food For Beauty Hair

ส่วนใหญ่เรามักจะดูแลเส้นผมโดยเน้นแต่ภายนอก ไม่ว่าจะเป็นการสระ อบ หมัก ทรีมเมนต์ แต่การดูแลเส้นผมให้สวยจากภายใน ก็สำคัญไม่แพ้กัน เพียงแต่เราเลือกอาหารที่มีประโยชน์ก็ช่วยได้แล้วค่ะ

อาหารที่แนะนำให้ทาน มีดังนี้ค่ะ

1. โปรตีน ช่วยบำรุงรากผม มีมากในเนื้อปลาและถั่วต่างๆ โดยเฉพาะถั่วเมล็ดแห้ง เช่น ถั่วเหลือง ถั่วแดง งาดำ น้ำเต้าหู้

2. สังกะสี ช่วยในการสังเคราะห์ RNA และ DNA ซึ่งเป็นตัวควบคุมการสร้างเซลล์ต่างๆ ในร่างกายให้แข็งแรง ช่วยลดการสะสมของโคเลสเตอรอล ลดการหลุดร่วงและลดรังแค พบมากในอาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น เนื้อสัตว์ นม เนยแข็ง อาหารทะเล โดยเฉพาะหอยนางรม

3. ทองแดง ช่วยในการสร้างฮีโมโกลบิน เม็ดเลือดแดงและอิลาสติน ซึ่งมีความสำคัญต่อกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อยืดหดได้ และยังช่วยลดการหลุดร่วงของเส้นผม ผมหงอก เป็นแผลที่ผิวหนัง พบมากในอาหารจำพวก ตับ หอยนางรม อาหารทะเล ผลไม้เปลือกแข็งและผักใบเขียว

4. แมงกานีส ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดงและกระดูก พร้อมทั้งรักษาให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ พบมากในอาหารทะเล ไข่แดง ข้าวสาลี เมล็ดอัลมอนด์ และผลไม้เปลือกแข็ง เป็นต้น

5. กรดแพนโทเธนิค วิตามินบี 5 ช่วยบำรุงเส้นผมและหนังศีรษะ ทำให้เส้นผมเงางาม มีในตับ นม ถั่วเหลือง ธัญพืช เช่น ข้าวสาลี ข้าวซ้อมมือ

6. กรดโฟลิค ช่วยเเสริมสร้างเม็ดเลือดแดงและเพิ่มการไหลเวียนของเลือดให้ดีขึ้น มีมากในผักต่างๆ โดยเฉพาะผักใบเขียว เช่น ผักบุ้ง คะน้า ผักกาดหอม และมีมากในนม

7. ไบโอติน ช่วยลดปัญหาการเกิดรังแค ช่วยบำรุงรากผม และลดอาการหลุดร่วงให้ดีขึ้น มีมากในตับ ถั่วต่างๆ จมูกข้าว

8. วิตามินซี ช่วยเพิ่มคอลลาเจน ความยืดหยุ่นที่ผิดโดยเฉพาะหนังศีรษะให้ดีขึ้น ช่วยเพิ่มการขยายหลอดเลือดและช่วยให้สารอาหารต่างๆ ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น พบมากในผักสดและผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว

9. วิตามินอี ช่วยชะลอการเสื่อมของเซลล์ผิว รวมทั้งบริเวณหนังศีรษะ ทำให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้นและมีผลช่วยลดโคเลสเตอรอลในเลือด พบมากในเมล็ดทานตะวัน ถั่วลิสง ปลาซาดีน น้ำมันตับปลา น้ำมันงา และไข่แดง

10. วิตามินเอ ช่วยบำรุงหนังศีรษะให้แข็งแรงไม่หลุดลอกได้ง่าย พบมากในแครอท ผักบุ้ง มะเขือเทศ ผักโขม บร็อคโคลี่ มันฝรั่ง มะละกอ แคนตาลูป และผักผลไม้สีเหลือง แดง

11. ธาตุเหล็ก ช่วยเพิ่มให้เลือดไปเลี้ยงรากผม และป้องกันไม่ให้เกิดโรคโลหิตจาง พบในตับ ผักที่มีสีเหลือง

12. โอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 เป็นไขมันที่จำเป็น เพราะถ้าร่างกายขาดแล้ว เส้นผมจะดูหมองหม่น ไม่สดใส ดูไร้ชีวิตชีวา รวมทั้งหนังศีรษะจะแห้ง หลุดล่อนเป็นแผ่นได้

13. แคลเซียม ช่วยบำรุงเส้นผมให้มีสุขภาพดี ดูมีชีวิตชีวา เงางาม มีน้ำหนัก

14. น้ำ เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เพราะน้ำเป็นองค์ประกอบอยู่ถึง 1 ใน 4 ของน้ำหนักเส้นผม ดังนั้น จึงควรดื่มน้ำเยอะๆ เพื่อให้ผมชุ่มชื้น ป้องกันไม่ให้ผมแห้ง

15. อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง เมนูที่ควรหลีกเลี่ยงเป็นอาหารประเภทไขมันสูง เนื้อติดมัน เนย กะทิ อาหารทอด น้ำมันหมู ช็อกโกแลต อาหารเหล่านี้ทำให้หนังศีรษะมีน้ำมันส่วนเกินออกมามากเกินไป ทำให้ผมมัน หลุดร่วงง่ายและอาจเป็นผลต่อเนื่องทำให้เกิดสิวบนหนังศีรษะได้อีกค่ะ

ข้อมูลจาก นิตยสาร Spicy

6/06/2553

เรื่องต้องรู้ถ้าผู้หญิงจะสูบบุหรี่

ความจริงที่ผู้หญิงต้องรู้มากกว่านั้น ก็คือ บุหรี่แต่ละมวนมีสารเคมีที่เป็นพิษมากกว่า 250 ชนิด ในจำนวนนี้มี สารก่อมะเร็งราว 50 ชนิด...

ช่วงนี้หลายคนคงพอจะได้ยินสปอตวิทยุรณรงค์ไม่ให้ผู้หญิงสูบบุหรี่ โดยนำเอาประเด็นความสวยงามและความแก่ขึ้นมา "ขู่" ว่าสูบบุหรี่แล้วจะไม่สวย ตีนกาขึ้น แก่เร็ว แต่มีความจริงที่ผู้หญิงต้องรู้มากกว่านั้น ก็คือ

จากเอกสารของ มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ ให้รายละเอียดเพิ่มเติมบอกว่า บุหรี่แต่ละมวนมีสารเคมีที่เป็นพิษมากกว่า 250 ชนิด ในจำนวนนี้มี สารก่อมะเร็งราว 50 ชนิดบุหรี่ทำให้เลือดมาเลี้ยงผิวหนังน้อยลง โดยบุหรี่ 1 มวน ทำให้เส้นเลือดหดตัวไป 90 นาที และเลือดไปเลี้ยงที่ผิวลดลง 24 เปอร์เซ็นต์ สูบบุหรี่ 10 นาที ลดออกซิเจนที่ผิวหนัง 1 ชั่วโมง ถ้าสูบ 1 ซองต่อวัน เท่ากับผิวหนังขาดออกซิเจน 1 วันผู้หญิงที่สูบบุหรี่ 20 มวนต่อวัน มีโอกาสเป็น โรคสะเก็ดเงิน มากกว่าหญิงที่ไม่สูบบุหรี่ 3.3 เท่า สูบบุหรี่มากกว่า 1 ซองต่อวัน เพิ่มอัตราเสี่ยงแผลหายช้า 3 เท่า

ถ้าสูบบุหรี่เกิน 50 ซองต่อปีจะมี รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า มากกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ได้ถึง 4.7 เท่า โดยผู้หญิงจะเหี่ยวมากกว่าผู้ชายก็เป็นข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับเรื่องการสูบบุหรี่กับความสวยความงามมาฝากกันค่ะ

ข้อมูลจาก http://www.ashthailand.or.th/ หรือ http://www.smokefreezone.or.th/

5/20/2553

Organic Beauty สวยจากธรรมชาติ



ภายใต้กระแสความนิยมเรื่องการใช้ชีวิตสู่ธรรมชาติ ทำให้ผู้บริโภคหันมาให้ความสำคัญกับของกินของใช้จากธรรมชาติที่ปลอดสารพิษ ไม่เว้นแม้แต่ในเครื่องสำอางบำรุงผิว แต่ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติก็มีหลายชนิด ทั้งที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ ออร์แกนิก ฯลฯ การเลือกใช้สินค้าแต่ละประเภทจึงต้องเข้าใจลักษณะเฉพาะของผลิตภัณฑ์ด้วย ได้แก่
  • เครื่องสำอางดูแลผิวและความงามที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ มีเกณฑ์การผลิตว่า เมื่อผ่านกระบวนการผลิตเสร็จสมบูรณ์แล้ว ส่วนผสมจากธรรมชาตินั้นๆ ยังคุณค่าตามธรรมชาติอยู่
  • ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิก มีลักษณะเฉพาะ คือ ใช้วัตถุดิบที่ผ่านขั้นตอนการปลูก เก็บเกี่ยว และแปรรูป ภายใต้กระบวนการทางการเกษตรที่ควบคุมอย่างพิถีพิถัน โดยมาตรฐานในการผลิตเครื่องสำอางออร์แกนิก เริ่มตั้งแต่การเพาะปลูกพืชผัก ผลไม้ โดยทุกขั้นตอนการผลิตจะปลอดปุ๋ยเคมี ไร้ยาฆ่าแมลง ไร้สารปนเปื้อนจากโรงงานอุตสาหกรรม ไม่ใช้สารเร่งฮอร์โมนและไม่มีการดัดแปลงพันธุกรรม เป็นต้น

สวยด้วยออร์แกนิก

นอกจากความนิยมในการใช้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติแล้ว ประโยชน์ที่โดดเด่นของส่วนผสมออร์แกนิกยังเป็นแรงดึงดูดสำคัญที่ทำให้มีผู้สนใจเครื่องสำอางประเภทนี้มากขึ้น มีผลงานวิจัยในสหรัฐอเมริกาที่นำน้ำผลไม้ออร์แกนิกมาทดสอบกับผิวของกลุ่มทดลอง พบว่า น้ำผลไม้ออร์แกนิกจะซึมซาบสู่ชั้นผิวได้ดีกว่าน้ำผลไม้ธรรมดา 50% และช่วยลดอัตราการแพ้หรือระคายเคืองได้ ลักษณะนี้อาจเปรียบเทียบได้กับการที่คุณได้กินผลไม้สดซึ่งมีคุณค่าสารอาหารสูงกว่าผลไม้กระป๋อง ผิวที่ได้ทาครีมที่มีส่วนผสมของน้ำผลไม้ออร์แกนิกก็จะให้ประโยชน์กับผิวมากกว่าครีมทั่วไปเช่นกัน


ส่วนประกอบแบบออร์แกนิก

ผลิตภัณฑ์ความงามแบบออร์แกนิกที่มีจำหน่ายในปัจจุบันมักอยู่ในรูปของผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและผม แบ่งเป็น 3 ส่วนสำคัญ คือ ตัวทำละลาย ได้แก่ น้ำ น้ำเกลือ และน้ำมัน สารบำรุง ได้แก่ น้ำสกัดจากผักและผลไม้ และสารกันเสีย ซึ่งนิยมใช้สารกันเสียสำหรับอาหารซึ่งจะมีอายุน้อยกว่าสารกันบูดในเครื่องสำอางทั่วไป จึงทำให้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวออร์แกนิกมีอายุเพียง 1-2 ปี


สวยอย่างปลอดภัยด้วยออร์แกนิก

โดยทั่วไปในเครื่องสำอางจะมีส่วนผสมของสารละลาย หรือสารกันเสียของเครื่องสำอาง เช่น พาราเบน ,ปิโตรเลี่ยมเจลลี่ ,โพรพิลีน, บัตทีลีน ,ไกลคอล และ ซิลิโคน ซึ่งสารเหล่านี้เป็นตัวการที่ทำให้เกิดการแพ้หรือระคายเคืองได้ง่าย การใช้ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกซึ่งปลอดจากสารเหล่านี้จึงเป็นเป็นการลดโอกาสแพ้หรือระคายเคือง และร่างกายยังไม่มีสารเคมีตกค้างในระยะยาวอีกด้วย หลายคนอาจสงสัยว่า ในบ้านเรามีผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกที่ไม่มีตราสัญลักษณ์หรือข้อความรับรองอยู่มากมายเนื่องจากยังไม่มีสถาบันหรือองค์กรรองรับ วิธีการพิจาณาว่าผลิตภัณฑ์เป็นออร์แกนิกหรือไม่นั้น พิจารณาจากส่วนผสมที่ไม่ใช้สารเคมี ได้แก่ สารทำให้เกิดฟอง ตัวปรับสภาพผิวนุ่ม เป็นต้น


ข้อสำคัญที่ไม่ควรละเลยคือการใส่ใจสัญลักษณ์ที่ช่วยรับรองคุณภาพเพื่อเพิ่มความมั่นใจว่า เครื่องสำอางที่เลือกจะมีคุณสมบัติครบถ้วนสมความปราถนาของคุณนั่นเอง

อ่านเพิ่มเติมในคอลัมน์ Beauty นิตยสาร Health & Cuisine ปีที่ : 10 ฉบับที่ : 111 เดือน : เมษายน 2553

10 อาหารเสริมที่ผู้ชายควรรู้

การจะเลือกซื้ออาหารเสริมให้กับตัวเองนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ผู้ชายหลายคนคิดจะสรรหาวิตามินนับร้อย มากินคู่กับ อาหารมื้อหลัก เพื่อชดเชยสภาวะขาดแคลนปริมาณสารอาหาร คนหนุ่มอีกส่วนหนึ่งเชื่อว่าวิตามิน หรืออาหารเสริม จะช่วยป้องกันโรคบางอย่าง ไม่ต่างกับการสร้างภูมิต้านทาน

ถ้าการมุ่งหน้าไปร้านขาย ยาเพื่อซื้ออาหารเสริมเพียงแค่ 1-2 ชนิด ทำให้คุณต้องวุ่นวาย กับข้อมูลจำนวนมาก จนไม่สามารถ จัดการกับข้อมูล หรืออาหารเสริมที่ต้องการได้ การสอบถามจากคนรอบตัว และการหาข้อมูลเพิ่มเติม จะช่วยคุณได้มากในขั้นตอน ของการตัดสินใจว่าอะไร คืออาหารเสริมที่คุณต้องการจริง ๆ

1. กรดโฟลิก (Folic Acid) มีคุณสมบัติ ช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจวายเฉียบพลัน และอาการเส้นเลือด ในสมองแตกในผู้ชาย คุณจึงควรหันมาให้ความสนใจ กินอาหารที่มีกรดโฟลิก ซึ่งมีอยู่มากใน ผักใบเขียว ทุกชนิด หรือหากต้องการบริโภค อาหารเสริม ประเภทกรดโฟลิก การกินอาหารเสริมประเภทนี้ ตามคำแนะนำของแพทย์ จะเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุด

2. กระเทียม (Garlic) ช่วยลดความดันเลือด ลดคอเลสเตอรอล ในร่างกาย และช่วยในเรื่องการไหลเวียนของเลือดได้ นอกจากนี้การบริโภค กระเทียมเป็นประจำ จะให้ผลต้านไวรัส ช่วยลดความเสี่ยง ในเรื่องเส้นเลือดสมองแตก และลดความเสี่ยง ของการเกิด อาการหัวใจวาย และหากกิน กระเทียมชนิดสด หรือกระเทียมที่นำไปปรุงอาหาร เป็นประจำได้ จะเป็นการดีกว่า อาหารเสริมประเภทกระเทียม ควรจะเป็นทางที่สองสำหรับคุณ

3. สังกะสี (Zinc) คุณอาจไม่ทราบว่าผู้ชายเป็นเพศที่สูญเสีย ปริมาณสังกะสีในร่างกายได้ง่าย เพราะทุกครั้ง ที่มีการหลั่งน้ำอสุจิ สังกะสีปริมาณ 5 มิลลิกรัม ซึ่งเป็นปริมาณมากถึง 1 ใน 3 ของปริมาณ สังกะสีที่ร่างกายต้องการต่อวัน จะถูกขับออก จากร่างกาย ดังนั้นผลเสียที่ตามมาจากการที่ร่างกาย ขาดสังกะสีก็ คือความต้องการทางเพศลดลง และโอกาสที่จะเป็นหมันสูง รวมทั้งสูญเสียประสิทธิภาพในการดมกลิ่นและรับรส แหล่งที่มาของอาหารเสริมชนิดนี้ได้แก่ อาหารทะเลจำพวกหอยนางรม ถั่ว เมล็ดพืช ธัญพืช และเนื้อสัตว์ ส่วนข้อควรระวัง สำหรับการกินแร่ธาตุประเภทสังกะสีก็คือ ในกรณีที่คุณบริโภคสังกะสีมากกว่าวันละ 25 มิลลิกรัม เป็นประจำอาจเป็นสาเหตุ ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ และท้องผูกตามมา

4. โสม (Ginseng) มีประสิทธิภาพในการช่วยฟื้นฟูพลังงานทั้งร่างกายและสภาวะจิตใจ เมื่อคุณอยู่ในอาการที่เคร่งเครียด โสมจะช่วยให้ ระดับกลูโคส อยู่ในระดับเป็นปกติ ทำให้ร่างกายไม่อ่อนเพลีย ช่วยให้มีสมาธิในการทำงานดีขึ้น จากการวิจัย โสมยังช่วยยืดอายุเซลล์ และมีประสิทธิภาพในการเพิ่มระดับฮอร์โมนเทส-โทสเตอโรนในเพศชายได้เป็นอย่างดี

5. น้ำมันปลา (Omega 3) จากการศึกษาพบว่า โอเมก้า 3 มีกรดไขมันที่สำคัญหลายชนิดสามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคความดันเลือดสูง มีผลในการรักษาโรค ที่เกิดจากการอักเสบเรื้อรัง และช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกาย แหล่งที่มาของสารอาหารประเภทน้ำมันปลาตามธรรมชาติ ได้แก่ ปลาแซลมอน ปลาแมคคอเรล ปลาเฮอร์ริ่ง ปลาซาร์ดีน และปลาที่มีไขมันต่ำ แต่หากบริโภคในปริมาณที่มากเกินไป น้ำมันปลาก็จะเข้าไปเพิ่มระดับน้ำตาล ซึ่งเป็นอันตราย สำหรับผู้ที่ป่วยเป็น โรคเบาหวาน

6. กลูโคซามีน ซัลเฟต (Glucosamine Sulfate) มีคุณสมบัติช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งของไขข้อ การสร้างกระดูกอ่อน มีประสิทธิภาพในการป้องกันข้อต่อต่างๆ ในร่างกาย สามารถช่วยซ่อมแซมไขข้อ กระดูกอ่อน บรรเทาอาการเอ็นยึด และอาการกระดูกสันหลังเคลื่อน มีประโยชน์อย่างมาก เมื่อใช้ในผู้ชายที่มีอาการปวดหลัง ข้ออักเสบ หรือบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา

7. สารสกัดจากผลปาล์มอเมริกันแคระ ซอว์ พาลเม็ตโต (Saw Palmetto) สารสกัดจากผลปาล์มอเมริกันแคระ ช่วยบรรเทาอาการต่อมลูกหมากโตชนิดไม่รุนแรง และช่วยกระตุ้นการหดตัว ของต่อมลูกหมาก แต่ข้อเสียของสารสกัดชนิดนี้ คือผลข้างเคียงที่จะทำให้ปัสสาวะบ่อยขึ้น นอกจากนี้ หากยังไม่แน่ใจ ในวิธีการเลือกรับประทาน คุณควรปรึกษาแพทย์ก่อน ที่จะซื้อหามาบริโภคด้วยตนเอง

8. แคตส์ คลอว์ (Cats Claw) เป็นสารสกัดจากพืชชนิดหนึ่ง พบในอเมริกาใต้ ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันร่างกาย ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ และกำจัดเซลล์ผิดปกติ แถมยังป้องกันการอักเสบการติดเชื้อไวรัส ป้องกันมะเร็ง และช่วยให้การทำงาน ของเซลล์เม็ดเลือดขาวดีขึ้น

9. มิลค์ ทิสเซิล (Milk Thistle) เป็นของเหลวจากพืชชนิดหนึ่ง ช่วยป้องกันตับเป็นพิษ จากปริมาณของแอลกอฮอล์ที่มากเกินไป รวมทั้งช่วยสร้าง เซลล์ตับขึ้นมาใหม่ จากการที่ตับถูกทำร้ายด้วยไวรัส หรือตับเป็นพิษ ดังนั้น การกินมิลค์ ทิสเซิล มันน่าจะเหมาะสำหรับผู้ชาย ที่ชอบดื่มหนักเป็นประจำ

10. อาหารเสริมกลุ่มแอนติออกซิ-แดนท์ (Antioxidants) อาหารเสริมกลุ่มนี้มีคุณสมบัติช่วยต้าน หรือลดการทำงานของอนุมูลอิสระ ไม่ให้เกิดการเผาผลาญ หรือไม่ให้เกิด การเปลี่ยนแปลงของร่างกายมากเกินไป โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ชายที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น สูบบุหรี่ ดื่ม เครื่องดื่มที่มี แอลกอฮอล์ รวมทั้งมลพิษต่างๆ ในสภาวะแวดล้อมที่คุณต้องเผชิญ อาหารเสริมที่มีความจำเป็น ในการใช้เพื่อต่อต้าน สารอนุมูลอิสระ ได้แก่ วิตามินอี วิตามินซี และซีลีเนียม นอกจากนี้ ผลการวิจัยจากหลายสถาบันยังกล่าวด้วยว่า ผู้ชายที่กินซีลีเนียมวันละ 200 มิลลิกรัมเป็นประจำ มีโอกาสเสียชีวิต ด้วยโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก ลำไส้ ปอด รวมทั้งมะเร็งอื่นๆ น้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้กินซีลีเนียมเป็นประจำกว่าร้อยละ 50

ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์

5/12/2553

หมดปัญหาแพ้ยาคุม ด้วยยาคุมไร้เอสโตรเจน

จากสถิติการคุมกำเนิดในประเทศไทย ยาคุมกำเนิดชนิดเม็ด เป็นวิธีคุมกำเนิดที่ได้รับความนิยมสูงสุด ยาคุมชนิดนี้ มักเป็นยาแบบฮอร์โมนรวม คือมีทั้งเอสโตรเจนและ โปรเจนโตเจนในสัดส่วนที่เท่ากัน และถึงแม้จะมีประสิทธิภาพป้องกันการตั้งครรภ์สูง แต่ก็ส่งผลให้เกิดปัญหาข้างเคียง ทั้งน้ำหนักตัวเพิ่ม เป็นสิว ฝ้า ปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน ซึ่งเป็นผลกระทบจากฮอร์โมนเอสโตรเจน แต่ปัญหาเหล่านี้จะหมดไป เพราะล่าสุดมียาคุมไร้เอสโตเจนออกสู่ตลาดแล้ว

ผศ.มานพชัย ธรรมคันโธ ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทย์ศาสตร์ ศิริราชพยาบาล กล่าวถึงยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดใหม่ไร้ฮอร์โมนเอสโตรเจนนี้ว่า เป็นนวัตกรรมยาเม็ดคุมกำเนิดที่พัฒนาเพื่อผู้หญิงที่แพ้ฮอร์โมนเอสโตรเจนในยาเม็ดคุมกำเนิดทั่วไป โดยได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลกแล้วว่ามีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดสูง เหมาะสำหรับผู้หญิงที่มีข้อห้ามใช้หรือมีอาการข้างเคียงจากการใช้เอสโตรเจน และยังปลอดภัยสำหรับผู้หญิงที่มีน้ำหนักตัวมาก สูบบุหรี่ อายุ 35 ปีขึ้นไป หรืออยู่ระหว่างการให้นมบุตรด้วย แม้จะไม่มีรายงานเรื่องอันตรายจากการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดต่อเนื่องนานหลายปี แต่ผู้ที่เลือกใช้การคุมกำเนิดด้วยวิธีนี้ก็ไม่ควรลืมตรวจสุขภาพเป็นประจำด้วยนะคะ และสำหรับผู้ที่สนใจยาคุมกำเนิดชนิดไร้ฮอร์โมนเอสโตรเจน ลองปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรใกล้บ้านได้ค่ะ

ข้อมูลจาก : นิตยสาร Health & Cuisine

4/08/2553

วิธีรักษาดวงตาให้สดใส

อายุที่เพิ่มขึ้น การทำงานใช้สายตานั่งหน้าคอมพ์นานๆ การได้รับสารอาหารและวิตามินไม่เพียงพอ มลภาวะแวดล้อมในอากาศ ฝุ่น ควัน การได้รับแสงจ้าเป็นเวลานาน ล้วนแล้วแต่เป็นสาเหตุที่จะก่อให้เกิดโรคทางสายตาได้อีกมากมาย อาทิ โรคจอประสาทตาเสื่อม โรคต้อกระจก โรคตาบอดกลางคืน

สารอาหารที่จำเป็นและมีประโยชน์ต่อดวงตา

Lutein/Zeaxanthin
ช่วยปกป้องจอประสาทตาด้วยการดูดซับแสงสีน้ำเงินและรังสีอัลตร้าไวโอเลต รวมไปถึงการกำจัดและทำลายอนุมูลอิสระ

Beta-Carotene
เป็นส่วนประกอบของเซลล์รับแสงในดวงตา ปกป้องจอประสาทตาจากอนุมูลอิสระ

Zinc
เป็นส่วนหนึ่งของเอนไซม์ที่ทำหน้าที่ต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาเมตาบอลิซึ่มของ Vitamin E และ Lutein

Vitamin E
เป็นส่วนหนึ่งของเยื่อหุ้มเซลล์รับแสงในดวงตา ทำงานเสริมฤทธิ์กันกับ Lutein และ Zeaxanthin ป้องกันร่างกายและดวงตาจากอนุมูลอิสระ มีบทบาทเกี่ยวกับการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง ช่วยในการใช้ Vitamin K ของร่างกาย

Vitamin C
เป็นส่วนหนึ่งของเอนไซม์มีหน้าที่ต้านอนุมูลอิสระ มีบทบาทในการสังเคราะห์คอลลาเจน (ส่วนประกอบสำคัญของหลอดเลือด กระดูก เส้นเอ็น ผิวหนัง ฯลฯ) การสังเคราะห์สารสื่อประสาทและฮอร์โมน
การดูแลตนเองและใส่ใจสุขภาพ รับประทานสารอาหารที่จำเป็นอย่างเพียงพอจะช่วยให้ดวงตาของท่านสดใส และชะลอความเสื่อมของดวงตาได้ค่ะ

น้ำมันทอดอาหารซ้ำ ภัยเงียบใกล้ตัวคุณ

เนื่องจากน้ำมันที่ผ่านการทอดซ้ำหลายๆครั้งจะมีคุณสมบัติที่เสื่อมลง ทั้งสี กลิ่น รสชาติและมีความหนืดมากขึ้น ทำสำคัญจะก่อให้เกิด “สารประกอบโพลาร์” ที่สามารถสะสมและส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย ตับและไตมีขนาดใหญ่ขึ้น ไขมันสะสมในตับ การหลั่งน้ำย่อยทำลายสารพิษในกระเพาะอาหารเพิ่ขึ้น นอกจากนั้นอาจมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ ส่วนไอระเหยจากน้ำมันทอดอาหาร หากสูดดมเป็นระยะเวลานานมีโอกาสเป็นโรคมะเร็งที่ปวดอีกด้วย

หลักการในการทอดอาหารที่ถูกหลักอนามัยและดีต่อสุขภาพ

1. น้ำมันปรุงอาหารควรเป็นน้ำมันพืช หลีกเลี่ยงการใช้น้ำมันสัตว์ เพื่อมิให้เพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจ

2. น้ำมันทอดอาหารควรเป็นน้ำมันที่คงตัวและเกิดควันช้า เช่น น้ำมันปาล์ม

3. ไม่ควรใช้น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันหมู น้ำมันวัวและไขมันสัตว์อื่นๆในการทอดอาหาร เพราะน้ำมันดังกล่าวไม่คงตัว จึงเสื่อมสภาพเร็ว

4. หากน้ำมันทอดมีกลิ่นเหม็นหืน เหนียวข้น สีดำ เกิดฟอง ควัน เหม็นไหม้ หรือไอน้ำ อย่างใดอย่างหนึ่ง ให้เปลี่ยนน้ำมันใหม่ทันที และไม่ควรเติมน้ำมันใหม่ลงไปเจือจาง

5. หมั่นกรองกากอาหารทิ้งระหว่างและหลังการทอดอาหาร โดยใช้ตะแกรงหรือผ้าขาวบาง

6. ควรซับน้ำมันส่วนเกินบริเวณผิวหน้าอาหารดิบก่อนทอด เพื่อลดการแตกตัวของน้ำมัน

7. ควรทอดอาหารครั้งละไม่มากเกินไป เพื่อให้ความร้อนของน้ำมันทอดอาหารกระจายทั่วถึง และใช้เวลาในการทอดน้อยลง

8. ไม่ควรทอดอาหารด้วยไฟแรงเกินไป อุณหภูมิที่เหมาะสมคือ 160-180 องศาเซลเซียส หากทอดไฟแรงน้ำมันจะเสื่อมสลายตัวเร็ว

9. หากทอดอาหารประเภทเนื้อสัตว์ที่มีส่วนผสมของเกลือหรือเครื่องปรุงรสปริมาณมาก ควรเปลี่ยนน้ำมันทอดอาหารให้บ่อยขึ้น

10. ควรล้างทำความสะอาดกระทะทอดอาหารหรือเครื่องทอดทุกวัน เนื่องจากน้ำมันเก่าสามารถไปเร่งการเสื่อมสภาพของน้ำมันทอดอาหารที่เติมลงไปใหม่

ข้อมูลจาก CP BRANDSITE Society

4/02/2553

ยาคุมกำเนิด อย่ากินพร่ำเพรื่อ

มหัศจรรย์เสียเหลือเกิน เมื่อยาคุมกำเนิดไม่ได้กินป้องกันตั้งครรภ์เพียงอย่างเดียว แต่พูดกันปากต่อปากกินบำรุงผิวพรรณ เพิ่มอึ๋ม ลดสิว ได้ยินอย่างนี้เป็นใครก็ลอง

นพ.มานพชัย ธรรมคันโธ ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล ยอมรับว่า ผู้หญิงทุกวันนี้นิยมกินยาคุมกำเนิดชนิดเม็ดกันมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน ไม่ใช่กินเพราะคุมกำเนิดอย่างที่ผ่านมาแล้ว แต่ต้องการผลพลอยได้จากยาคุมในอีกมุมหนึ่งที่ทำให้ขนาดหน้าอกเพิ่มขึ้น สิวน้อยลง

“การกินยาคุมกำเนิดชนิดเม็ด เพื่อรักษาสิว เพิ่มขนาดหน้าอกให้ใหญ่กว่าปกติ เป็นวิธีที่ไม่ถูกต้อง เพราะหากเลือกยาไม่สัมพันธ์กับฮอร์โมนในร่างกาย ผลที่ตามมาอาจเป็นผลข้างเคียงจากยา และยังสิ้นเปลืองเงินโดยใช่เหตุ ทางที่ดีควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง หรือเฉพาะจุดที่ร่างกายมีปัญหาจะดีกว่า” สูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา ศิริราชพยาบาล กล่าว

สิ่งสำคัญที่ควรคำนึงในการพิจารณาเลือกซื้อยาคุมกำเนิดชนิดเม็ดคือ จุดประสงค์ของยา ซึ่งเหมาะสำหรับการป้องกันการตั้งครรภ์ในระยะเวลา 5-10 ปี เนื่องจากเป็นวิธีที่ง่าย สะดวก แต่ผู้กินต้องเสียเงินประจำทุกเดือน และต้องรับผิดชอบต่อตัวเองในการกินต่อเนื่องในเวลาใกล้เคียงกันทุกวัน

ในยาคุมกำเนิดชนิดเม็ดโดยทั่วไปจะประกอบด้วยฮอร์โมนสังเคราะห์ 2 ชนิด คือเอสโตรเจนและโปรเจสโตเจน ออกฤทธิ์คล้ายกับฮอร์โมนที่มีอยู่ตามธรรมชาติในร่างกาย เพื่อที่จะป้องกันการตั้งครรภ์ คนที่ต้องการคุมกำเนิดด้วยยาคุมควรปรึกษาแพทย์ก่อน

การสังเกตว่ายาคุมที่กินอยู่มีผลข้างเคียงหรือไม่ สามารถตรวจสอบได้ด้วยตัวเอง เช่น น้ำหนักตัวหลังจากกินยาคุมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วหรือไม่ มีอาการปวดศีรษะ หรือไมเกรน คลื่นไส้อาเจียน เจ็บตึงคัดเต้านม หน้าเป็นฝ้าในระยะ 2-3 เดือนแรกของการกินยา หรือมีอาการต่อเนื่องหรือไม่ และหากพบอาการดังกล่าวควรพบแพทย์เฉพาะทางเพื่อขอคำแนะนำในการกินที่ถูกต้อง

สมัยก่อน ยาเม็ดคุมกำเนิดจะมีขนาดฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงถึง 150 ไมโครกรัม ซึ่งถือว่าสูงมาก ทำให้เกิดอาการข้างเคียงได้ง่าย นพ.มานพชัย แนะนำว่า วิธีเลือกซื้อยาเม็ดคุมกำเนิดที่ปลอดภัย ควรพิจารณายาคุมกำเนิดชนิดที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนในปริมาณต่ำเป็นอันดับแรก เพราะจะมีส่วนช่วยลดอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องน้ำหนักตัวหลังการกินยาต่อเนื่อง 2-3 เดือน

สำหรับคนที่แพ้ฮอร์โมนเอสโตรเจน และมีอาการน้ำหนักเพิ่มมากจนผิดปกติ ควรรีบพบแพทย์เพื่อขอรับคำแนะนำเช่นกัน เพื่อสามารถพิจารณาเลือกกินยาคุมชนิดเม็ดแบบอื่น ที่สอดรับกับฮอร์โมนของร่างกาย เนื่องจากปัจจุบันมียาเม็ดคุมกำเนิดวางจำหน่ายในตลาดมากมายให้เลือก

ยาคุมกำเนิดชนิดเม็ดมี 3 ชนิดได้แก่ ชนิดฮอร์โมนรวม ชนิดฮอร์โมนเดี่ยว หรือชนิดไร้เอสโตรเจน และยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฉุกเฉิน โดยยาคุมชนิดเม็ดแบบไร้ฮอร์โมนเอสโตรเจน เหมาะสำหรับคนที่แพ้ฮอร์โมนเอสโตรเจน ลดอาการข้างเคียง เช่น น้ำหนักตัวเพิ่ม อาการบวมน้ำ ไม่ตึงคัดเต้านม หน้าเป็นฝ้า รวมถึงลดการปวดศีรษะ แต่อาจมีราคาแพงกว่ายาคุมทั่วไป

การกินยาเม็ดคุมกำเนิดที่เหมาะกับร่างกาย ไม่เพียงลดอาการข้างเคียงดังที่กล่าวมาแล้ว แต่ในระยะยาว มีผลงานวิจัยบ่งชี้อีกว่า มีประสิทธิภาพช่วยเรื่องรอบเดือนให้มาสม่ำเสมอ ลดอาการปวดประจำเดือน และประจำเดือนมามาก โรคโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก และลดอาการเครียดก่อนมีประจำเดือนได้ รวมถึงลดอาการก่อนวัยหมดประจำเดือน

การกินยาคุมยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งรังไข่ มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก และมะเร็งลำไส้ ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกพรุน ก้อนเนื้องอกที่เต้านมและรังไข่ชนิดไม่ร้ายแรง การอักเสบในอุ้งเชิงกรานและการตั้งครรภ์นอกมดลูกอีกด้วย

สำหรับยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฉุกเฉิน ผศ.นพ.มานพชัย ให้ความรู้ว่ามีประสิทธิภาพคุมกำเนิดเพียง 70% ส่งผลให้ประจำเดือนมาผิดปกติ และอาจมีประจำเดือนแบบกะปิดกะปอยหลายเดือนต่อเนื่อง
สำหรับการมีเพศสัมพันธ์ของวัยรุ่นควรเลือกกินยาเม็ดคุมกำเนิดแบบปกติจะดีกว่าเพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาว
“การคุมกำเนิดทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นยากินแบบที่เป็นฮอร์โมน ยาฝัง ไม่ได้ป้องกันเรื่องกามโรค หรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ควรหาวิธีการป้องกันอย่างอื่นร่วมด้วย เช่น ถุงยางอนามัย”สูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา ศิริราชพยาบาล กล่าว

อีกกลุ่มหนึ่งที่ต้องพูดถึงคือ สาวประเภทสองที่หันมานิยมกินยาคุม เพื่อเสริมอึ๋ม แพทย์จากศิริราชพยาบาล กล่าวเตือนพร้อมอธิบายว่า ไม่สมควรกินเช่นกัน เพราะการที่หน้าอกใหญ่ขึ้น เป็นอาการของเซลล์ที่หน้าอกมีการบวมน้ำ เหมือนมีฟองน้ำที่มีน้ำอัดอยู่เยอะๆ

ปัจจุบัน แม้ยังไม่มีงานวิจัยที่บ่งชี้ว่ามีผลข้างเคียงอย่างใดต่อสาวประเภทสอง แต่ที่น่ากลัวคือ คนที่กินในปริมาณมาก เช้า กลางวัน เย็น อาจส่งผลให้ตับทำงานหนักจนเกิดภาวะตับวายได้

ข้อมูลจาก กานต์ดา บุญเถื่อน
http://www.bangkokbiznews.com

3/24/2553

Functional Drink ดื่มแล้วฉลาด ชะลอแก่ได้จริงหรือ?

สารอาหารทั้ง 5 นี้พบได้มากขึ้นในเครื่องดื่มที่มีขายตามท้องตลาด ซึ่งผู้ผลิตพากันแข่งขันเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคปัจจุบันที่เน้นกระแสรักสุขภาพ เครื่องดื่มทั่วไปที่คุ้นตาจึงพัฒนามาเป็น Functional drink หรือเครื่องดื่มทางเลือก และเพื่อให้เข้าใจว่าสารอาหารทั้ง 5 มีประโยชน์อย่างไร มารู้จักความหมาย หน้าที่ และกลไกการทำงาน รวมทั้งแหล่งอาหารตามธรรมชาติของสารอาหารเหล่านี้กันดีกว่า
แอลกลูตาไธโอน (L-glutathione) หรือกลูตาไธโอน
ช่วยขจัดสารพิษหรือขับของเสียโดยเฉพาะอย่างยิ่งในตับ และยังทำหน้าที่เปลี่ยนสารพิษกลุ่มที่ไม่ละลายน้ำ เช่น สารพิษในอาหารปิ้ง ย่าง รมควัน สารพิษจากเชื้อราต่างๆ หรือยาบางชนิดให้เป็นสารที่ละลายน้ำได้เพื่อให้ร่างกายกำจัดออกได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นผู้ช่วยของเอนไซม์ที่ทำลายอนุมูลอิสระ ซึ่งเสริมการทำงานของวิตามินซีและอี ช่วยป้องกันตับจากการถูกทำลายโดยแอลกอฮอล์และบุหรี่ จึงเป็นจุดเด่นที่ผู้ผลิตเครื่องดื่มบางชนิดนำมาใช้ชูโรง ซึ่งก็ได้ผลตอบรับอย่างดีจากคอแอลกอฮอล์ที่ยังห่วงใยสุขภาพ

กลูตาไธโอนพบได้ทั่วไปในเนื้อสัตว์ ผลไม้และผัก โดยเฉพาะหน่อไม้ฝรั่ง โดยปกติร่างกาย ผลิตสารนี้ได้เอง นอกจากคนที่เป็นโรคบางชนิด เช่น โรคตับ เบาหวาน ความดัน รวมถึงผู้สูบบุหรี่จัด อย่างไรก็ดีจากรายงานวิจัยของสถาบันวิจัยโภชนาการพบว่า กลูตาไธโอนที่อยู่ในอาหารเสริมหรือเครื่องดื่มนั้นจะถูกดูดซึมเข้าสู่ระบบทางเดินอาหารได้ไม่ดีนัก และไม่ควรรับประทานเกิน 250 มิลลิกรัมต่อวัน ฉะนั้นการโฆษณาว่าเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกลูตาไธโอนแก้เมาค้างและบำรุงตับได้นั้น จึงเป็นการกล่าวอ้างที่ยังไม่ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาหรือ อย.


แอลคาร์นิทีน (L-carnitine)

อีกหนึ่งสารที่ร่างกายสร้างได้เองภายในตับและไต ทำหน้าที่เปลี่ยนกรดไขมันให้เป็นพลังงาน เพื่อให้กล้ามเนื้อทั่วร่างกายนำไปใช้ ไม่ว่าจะเป็นแขน ขา กล้ามเนื้อหัวใจ สมอง และช่วยระบบเผาผลาญ ในเพศชาย แอลคาร์เนทีนยังมีส่วนเพิ่มการผลิตและควบคุมการเคลื่อนที่ของสเปิร์มด้วย ข้อดีของแอลคาร์เนทีนที่ถูกยกมาเป็นจุดขายของผลิตภัณฑ์ คือ ให้พลังงานมากขึ้นจึงเหมาะสำหรับผู้รักการออกกำลังกาย พร้อมทั้งช่วยเผาผลาญไขมัน

ประโยชน์อื่นๆ ของแอลคาร์เนทีน
แอลคาร์เนทีนทำให้เราแก่ช้าลง เพราะเมื่ออวัยวะต่างๆ ได้รับพลังงานเพียงพอ เซลล์ของอวัยวะนั้นๆ ก็จะมีอายุยืนยาวขึ้น ทำให้ค่าไตรกลีเซอไรด์อยู่ในระดับต่ำ พร้อมกันนั้นยังช่วยเพิ่มคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) ในเส้นเลือด และช่วยป้องกันโรคหัวใจ ช่วยให้น้ำหนักลดเมื่อเราลดการรับประทานแป้ง ลดความเสียหายของเซลล์ประสาทจากความเครียด ช่วยป้องกันอัลไซเมอร์ในคนอายุน้อย ช่วยในการทำงานของตับและภูมิคุ้มกันของร่างกาย

สารแอลคาร์เนทีน พบมากในเนื้อแดง นม ผลิตภัณฑ์จากนม ธัญพืช ผักใบเขียว อะโวคาโด ถั่วรับประทานทั้งฝัก อัลฟาฟ่า และผลิตภัณฑ์จากถั่วหมัก ภาวะขาดแอลคาร์เนทีนอาจเกิดได้กับผู้ที่รับประทานมังสวิรัติ รวมทั้งผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยและดูดซึมอาหาร เด็กและสตรีมีครรภ์ไม่ควรได้รับแอลคาร์เนทีนในรูปของผลิตภัณฑ์หรือเครื่องดื่มที่เสริมสารอาหาร

โคเอนไซม์คิวเท็น (Co-enzyme Q10)

เป็นสารอาหารทำหน้าที่คล้ายวิตามินที่ร่างกายสามารถผลิตได้เอง ทำหน้าที่ดักจับอิเลคตรอนเพื่อส่งให้ไมโตคอนเดรียผลิตพลังงานแก่เซลล์ คิวเทนถูกพบมากในอวัยวะที่ต้องการพลังงานสูง เช่น หัวใจ ตับ กล้ามเนื้อ และสมอง เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งแหล่งพลังงานสำคัญของร่างกาย ที่ช่วยให้อวัยวะสำคัญต่างๆ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และด้วยคุณสมบัติในการดักจับอิเลคตรอนนี่เอง จึงเชื่อกันว่าคิวเทนเป็นสารแอนติออกซิแดนท์ จนถูกนำมาทำเสริมอาหารในรูปแบบต่างๆ รวมทั้งเครื่องดื่ม

ในความเป็นจริง การทำงานของโคเอนไซม์คิวเทนไม่ได้เพียงแค่จับอิเลคตรอนไว้กับตัว แต่ยังส่งผ่านหน้าที่ไปยังส่วนอื่นเพื่อให้เกิดการทำงานครบกระบวน ดังนั้นในทางทฤษฎีแทนที่จะเป็นสารต้านอนุมูลอิสระเพียงอย่างเดียว โคเอนไซม์คิวเทนอาจกลายเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระเสียเองได้ ดังนั้นการบริโภคเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคิวเทน จึงไม่ช่วยต้านอนุมูลอิสระแต่จะไปเพิ่มปริมาณโคเอนไซม์คิวเทน ให้ร่างกายนำไปใช้ได้เลยโดยไม่ต้องสร้างเอง

นอกจากร่างกายของเราจะสร้างคิวเทนได้เองแล้ว ในสัตว์และพืชบางชนิดยังเป็นแหล่งอุดมโคเอนไซม์คิวเทนเช่นกัน อาทิ ปลาซาร์ดีน แมคเคอเรล แซลมอน อาหารทะเลต่างๆ เครื่องในสัตว์โดยเฉพาะหัวใจ ตับ และไต เนื้อสัตว์ รำข้าว ผลิตภัณฑ์จากถั่ว น้ำมันถั่วเหลือง และบรอคโคลี่ ส่วนแหล่งอุดมสารต้านอนุมูลอิสระจากธรรมชาติคือ ถั่วงอก โดยเฉพาะถั่วงอกหัวโตที่งอกจากเมล็ดถั่วเหลือง จะมีปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าถั่วชนิดอื่น และไม่ถูกทำลายเมื่อโดนความร้อน จึงรับประทานได้ทั้งแบบสดและสุก

คอลลาเจน (Callagen)

เป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง (scleroprotien) ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของ เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน อยู่ในรูปของไฟเบอร์ที่ประกอบด้วยสายไขมัน (peptide chain) 3 สาย ทำให้ผิวหนังมีความชุ่มชื้น ยืดหยุ่น แต่เมื่อเวลาผ่านไปความยืดหยุ่นที่เคยมีก็เสื่อมลง คงไว้แต่ความเหนียวที่เพิ่มมากขึ้น แต่อุ้มน้ำได้น้อยลง ผิวจึงแห้งเหี่ยวยับย่น และด้วยคุณสมบัติเพิ่มความยืดหยุ่นแก่ผิวหนังนี่เอง เครื่องดื่มเสริมคอลลาเจนจึงถือกำเนิดขึ้นมา พร้อมคำบรรยายสรรพคุณที่ว่าช่วยให้ผิวพรรณสวยงาม เต่งตึง แลดูอ่อนกว่าวัย

แท้จริงแล้วคอลลาเจนในเครื่องดื่มนั้นไม่สามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้โดยตรง ต้องผ่านกระบวนการย่อยเป็นโปรตีนก่อนนำไปใช้ประโยชน์ ฉะนั้นสิ่งที่จะได้รับจากเครื่องดื่มผสมคอลลาเจนจึงเป็นโปรตีนไม่ใช่คอลลาเจนอย่างที่เข้าใจ

หากอยากเพิ่มคอลลาเจนแก่ผิวแนะนำให้กินอาหารจำพวกหนังสัตว์ เช่น ขาหมู หมูพะโล้ หมูหนาว อาหารเหล่านี้หากนำไปแช่แข็งให้แยกตัวจะเห็นส่วนที่เป็นหนัง ไขมัน และชั้นวุ้นใสๆ ชัดเจน และชั้นวุ้นใสนี่เองที่เรียกว่าคอลลาเจน นอกจากนี้ควรรับประทานผักผลไม้ที่อุดมด้วยวิตามินซีซึ่งเป็นสารตั้งต้นการสังเคราะห์คอลลาเจน เช่น ฝรั่ง ส้ม เบอร์รี่และผลไม้รสเปรี้ยวทั้งหลาย เพียงเท่านี้ผิวพรรณร่างกายก็ดูสดใสสมวัยแล้ว

ซอย เปปไทด์ (Soy Peptide)

คือ โมเลกุลขนาดเล็กที่สุดของโปรตีนจากถั่วเหลือง ที่พร้อมดูดซึมเพื่อให้ร่างกายนำไปใช้งานได้อย่างเต็มที่ มีผลการทดลองเรื่องซอย เปปไทด์กับการทำงานของสมองโดยทีมวิจัยมหาวิทยาลัยโทโฮคุ ฟุกุชิ เมืองเซนได ประเทศญี่ปุ่นพบว่า กลุ่มตัวอย่างที่ได้รับซอย เปปไทด์ 4,000 มิลลิกรัม จะมีปริมาณออกซิเจนในสมองส่วนหน้าเพิ่มขึ้นและฮีโมโกลบินในเลือดเข้มข้นขึ้นด้วย อาจส่งผลดีต่อสมองส่วนหน้าที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับความรู้หรือการจดจำ

ด้วยคุณสมบัตินี้ จึงเป็นที่มาของเครื่องดื่มสกัดจากถั่วเหลืองเข้มข้นเพื่อบำรุงสมองและเพิ่มความฉลาด หากดื่มเพื่อบำรุงสมองนั้นดูจะมีความเป็นไปได้ แต่ดื่มแล้วจะฉลาดจริงหรือไม่ ยังไม่มีคำยืนยันแน่นอน เพราะสมองมนุษย์จะพัฒนาได้ดีที่สุดขณะอยู่ในครรภ์มารดา และเสริมความฉลาดเพิ่มได้ในช่วงขวบปีแรกๆ ฉะนั้น การดื่มซอย เปปไทด์ จึงไม่น่าจะช่วยให้สมองฉลาดขึ้นได้

ข้อพึงระวังคือ เครื่องดื่มที่ผสมซอย เปปไทด์มีความเข้มข้น อาจทำให้ผู้สูงอายุท้องอืด ลองดื่มน้ำนมถั่วเหลืองแทน ได้ประโยชน์พอกัน แต่ความเข้มข้นน้อยกว่า ร่างกายจึงไม่ต้องใช้พลังงานในการย่อยและดูดซึมมาก ที่สำคัญน้ำนมถั่วเหลืองนอกจากหาซื้อง่าย ราคาไม่แพงแล้ว ยังจัดเป็นสุดยอดเครื่องดื่มธัญพืชปราบมะเร็ง เพราะถั่วเหลืองมีไฟโตเอสโตรเจน ที่ออกฤทธิ์ยับยั้งการเกิดมะเร็ง ทั้งมะเร็งปากมดลูก และมะเร็งเต้านมในทั้งหญิงและชาย


ข้อมูลจาก นิตยสาร Health & Cuisine

3/16/2553

ผักพื้นบ้าน แหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระ

อนุมูลอิสระ เป็นสาเหตุสำคัญของโรคต่างๆ อาทิ โรคหลอดเลือดอุดตัน โรคหัวใจ โรคต้อกระจก โรคสมองเสื่อม ข้ออักเสบ รวมถึงความชรา และโดยเฉพาะโรคมะเร็ง ปกติร่างกายมีกลไกในการกำจัดอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นเอง แต่เนื่องจากปัจจุบันสภาวะแวดล้อมการดำรงชีวิตเปลี่ยนไป ทำให้ร่างกายมีอนุมูลอิสระเกินกว่าที่กำจัดได้ ส่วนที่ยังเหลือจึงทำความเสียหายแก่องค์ประกอบต่างๆของเซลล์ เมื่อสะสมมากๆจึงก่อให้เกิดโรคดังข้างต้น

ผักพื้นบ้านที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง คือ มันปู ยอดมะม่วงหิมพานต์ ยอดมะกอก พริกไทยอ่อน ผักกระเฉด สะระแหน่ ใบกะเพรา ขี้เหล็ก กระโดนบก ทำมัง ผักไผ่ สะเดา ผักกระถิน ใบย่านาง ติ้ว ใบมะตูม หมุย กระโดนน้ำ ตำหยาน ใบมันเทศ ลูกฉิ่ง เหงือกปลาหมอ ผักแปม มะปราง ดอกข่า ใบแมงคะ ผักเฮือด ใบมะม่วงแก้ว พังพวยน้ำ ผักขยา เม่า ซี่ปุ้ ไทรส้ม ยอดเมา หวาย สะเม็ก และมะสัง เป็นต้น
ซึ่งผักพื้นบ้านเหล่านี้ช่วยชะลอความเสื่อม และมีบทบาทในการรักษาโรคเรื้อรังที่เป็นโรคยอดนิยมได้อย่างดี ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระจากผักพื้นบ้านส่วนใหญ่เป็นผักใบเขียวจัด ที่มีวิตามินเอหรือเบต้าแคโรทีนสูงมาก ได้แก่ ยอดแคขี้เหล็ก ชะอม ยอดกระถิน ยอดตำลึง ใบชะพลู ใบยอ ใบกะเพรา ผักกะเฉด ผัดกูด ผักกุ่ม ผักเชียงดา ผักติ้ว ผักแว่น ผักหวาน เป็นต้น

หากเรารู้จักรับประทานผักแบบบรรพบุรุษไทย อาทิ นำมาจิ้มน้ำพริก รับประทานแกล้มยำ ลาบ ก็จะได้วิตามินซีไปในตัว โดยเฉพาะคนรุ่นเก่าที่รู้จักเก็บผักมารับประทานสดจะได้ปริมาณวิตามินซีสูงสุด เนื่องจากหากเก็บผักจากต้นมาทิ้งไว้ยิ่งนานเท่าใด ปริมาณวิตามินซีก็จะยิ่งลดลงไปเท่านั้น

ที่มา : ผศ.ดร.สุปรียา ยืนยงสวัสดิ์. อาหารสมุนไพรและผักพื้นบ้านสำหรับโรคมะเร็ง

5 สุดยอดอาหารบำรุงผม

ผมสวยสุขภาพดีอาจไม่ได้เกิดจากการหมัก สระ หรือบำรุง เพียงอย่างเดียว จุดเริ่มต้นของผมสวยอย่างแท้จริงนั้นต้องเริ่มต้นจากอาหารที่เรากินเข้าไปในแต่ละวัน

ผลการวิจัยล่าสุดของสถาบัน Cosmetic dermatology – The miller School of Medicine at the University Miami พบว่า อาหารบำรุงผม 5 ชนิด คือ แซลมอน ผักสีเขียว ถั่วเปลือกแข็ง ไข่ โฮลเกรน ซึ่งอุดมด้วย อัลฟ่า-ไลโนเลนิก โอเมกา-3 ธาตุเหล็ก สังกะสี วิตามินบี 12 ช่วยให้สภาพผมของกลุ่มทดลอง 100 คนที่กินอาหารดังกล่าวเป็นเวลา 5 ปี มีปัญหาผมหงอก แตกปลาย และผมแห้ง น้อยกว่าคนที่ไม่ได้กินถึง 70 เปอร์เซ็นต์ ในมื้ออาหารถัดไปคุณจึงควรจัดเมนูที่อุดมด้วยอาหารเหล่านี้เพื่อปูทางสุขภาพผมดีไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ

ข้อมูลจาก Beauty นิตยสาร Health & Cuisine

3/09/2553

เทคนิคเลือกผลิตภัณฑ์ดูแลผิวทั้งเขาและเธอ

เลือกผลิตภัณฑ์ดูแลผิวของเธอ ไม่ว่าคุณจะมีสภาพผิวแบบใด ล้วนมีโอกาสมีลักษณะของผิวแพ้ง่ายได้ทั้งหมด ดังนั้นก่อนเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ดูแลผิวให้ตั้งเกณฑ์ในใจก่อนว่า คุณมีลักษณะผิวแพ้ง่ายหรือไม่ โดยสังเกตจากผิวของคุณมีผื่นแดง มีขุยตามหัวคิ้ว ร่องแก้ม ร่องข้างจมูก หรือไม่ หากเข้าเกณฑ์ดังกล่าว ควรเลือกผลิตภัณฑ์บำรุงตามสภาพผิว ที่พ่วงคุณสมบัติปกป้องการแพ้หรือการระคายเคืองเข้าไปด้วยค่ะ

ผู้หญิงผิวแห้ง ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีความเข้มข้นประเภทเนื้อครีม เพราะจะช่วยลดการสูญเสียน้ำและเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวได้นานกว่า ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ และใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยดูแลเรื่องริ้วรอยเสริมด้วย

ผู้หญิงผิวธรรมดา ควรเลือกผลิตภัณฑ์ดูแลผิวโดยคำนึงถึงสภาพอากาศ เช่น ในช่วงอากาศปกติควรเลือกผลิตภัณฑ์ประเภทเนื้อโลชั่น เพราะไม่เหนียวเหนอะหนะ และไม่ก่อให้เกิดปัญหาผิวอุดตัน แต่หากต้องเผชิญกับอากาศที่หนาวเย็น หรืออยู่ในห้องปรับอากาศ ควรเลือกใช้ประเภทเนื้อครีม

ผู้หญิงผิวผสม นอกจากจะเลือกผลิตภัณฑ์ที่เฉพาะกลุ่มสำหรับผิวผสม ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ประเภทเนื้อโลชั่นและเนื้อเจล อาจเน้นใช้ผลิตภัณฑ์ที่ให้ความชุ่มชื่นและดูแลริ้วรอยให้แก่ผิวบริเวณนอกทีโซนด้วย

ผู้หญิงผิวมัน ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ประเภทเนื้อเจลเพราะมีส่วนผสมของน้ำ ไม่มีไขมัน และมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ที่ช่วยขจัดความมันได้ดี ที่สำคัญควรเลือกใช้ครีมกันแดดประเภทฟิสิคอล (Physical) ที่มีสาร Titanium Dioxide และ Zinc Oxide ซึ่งเมื่อทาผิวมักมีคราบสีขาวติดอยู่ที่ผิว สารกลุ่มนี้จะช่วยสะท้อนแสงออกไป มีคุณสมบัติคงตัว ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีปฏิกิริยากับผิวที่แพ้ง่ายหรือเป็นสิว

เลือกผลิตภัณฑ์ดูแลผิวของเขา แม้ผู้ชายส่วนใหญ่จะมีผิวมัน การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวสำหรับผิวมันของผู้หญิงอาจไม่ใช่เรื่องเสียหาย แต่เนื่องจากผู้ชายจะมีความมันของผิวมากกว่า ทำให้ผู้ชายมีปัญหาเรื่องสิวและรูขุมขนกว้างมากกว่า ดังนั้นจึงควรเลือกผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ชายโดยตรง เพราะจะเน้นส่วนผสมที่ป้องกันการเกิดสิวและแก้ปัญหาเรื่องรูขุมขนแบบตรงจุด ทั้งนี้หากจะเลือกซื้อผลิตภัณฑ์สำหรับผิวผู้ชายอย่าลืมที่จะพิจารณาถึงหลักพื้นฐานว่า มีลักษณะผิวแพ้ง่ายหรือไม่ แล้วจึงคำนึงถึงสองปัญหาข้างต้น

ผู้ชายเป็นสิวมาก ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่สารป้องกันการเกิดสิว มีลักษณะเนื้อบาง เหลว หรือเป็นน้ำ เช่น โลชั่น เจล และหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์เมื่อเป็นสิวแล้ว เพราะจะยิ่งทำให้สิวอักเสบยิ่งขึ้น

ผู้ชายรูขุมขนกว้าง ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ นอกจากจะช่วยลดความมันของผิว ยังช่วยให้รูขุมขนดูกระชับหลังจากใช้ผลิตภัณฑ์

ที่สำคัญ ก่อนเลือกผลิตภัณฑ์ดูแลผิวทุกครั้ง อย่าลืมว่า ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ดีที่สุด คือ ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสภาพผิวของคุณมากที่สุดนั่นเอง


ข้อมูลจาก นิตยสาร Health & Cuisine

2/21/2553

อยากผอมต้องกินโฮลเกรน

“โฮลเกรน” คือ ธัญพืชเต็มเมล็ด ที่ผ่านการขัดสีน้อยที่สุดหรือไม่ผ่านการขัดสีเลย จึงอุดมไปด้วยใยอาหาร โปรตีน วิตามินบี วิตามินอี ธาตุเหล็ก และสารต้านอนุมูลอิสระ ตัวอย่างโฮลเกรนที่เรารู้จักกันดีได้แก่ ข้าวกล้อง ข้าวสาลี ข้าวโพด ข้าวโอ๊ต ข้าวบาร์เลย์ ข้าวไรย์ ลูกเดือย นั่นเอง

หลายคนอาจทราบประโยชน์ของโฮลเกรนว่าลดความเสี่ยงโรคหัวใจ ความดันสูง โรคมะเร็งในทางเดินอาหาร โรคเบาหวานชนิดที่ 2 หรือช่วยป้องกันท้องผูก แต่น้อยคนนักจะรู้ว่า ถ้ากินโฮลเกรนเป็นประจำจะช่วยให้หุ่นเพรียวขึ้น เพราะเส้นใยและคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนในโฮลเกรนทำให้ร่างกายย่อยอาหารช้าลง จึงรู้สึกอิ่มนาน ไม่กินจุบกินจิบ และมีผลต่อการลดน้ำหนักในระยะยาว งานวิจัยพบว่า หากกินอาหารโฮลเกรน 40 กรัมทุกวันจะทำให้น้ำหนักลดลงถึงเดือนละ 0.49 กิโลกรัม โดยไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติม

แต่ถ้าไม่รู้ว่าจะเริ่มอย่างไร วิธีง่ายๆ คือให้เปลี่ยนมากินข้าวกล้องแทนข้าวขาว ซีเรียลโฮลเกรน ขนมปังโฮลวีต คุ้กกี้ข้าวโอ๊ต หรือพาสต้าเส้นโฮลวีต เท่านี้ก็ได้สุขภาพดีแถมรูปร่างผอมเพรียวเป็นของแถมแล้ว

ข้อมูลจาก นิตยสาร Health&Cuisine

คุณรู้จักคอเลสเตอรอลดีแค่ไหน???

คนส่วนใหญ่อาจรู้จักคอเลสเตอรอลว่าเป็นตัวการที่ก่อให้เกิดโรคไขมันในเลือดสูงและโรคหัวใจ แต่รู้หรือไม่ว่าคอเลสเตอรอลสามารถสร้างคุณและโทษได้ในเวลาเดียวกัน…

· คอเลสเตอรอล คือ สารไขมันคล้ายขี้ผึ้งที่อยู่ในหลอดเลือด และมีอยู่ในทุกเซลล์ของร่างกาย ทำหน้าที่เป็นส่วนประกอบของผนังเซลล์ในร่างกาย และเป็นส่วนประกอบสำคัญของฮอร์โมนบางชนิดที่จำเป็นต่อร่างกาย

· ตับสามารถผลิตคอเลสเตอรอลได้เองตามธรรมชาติ

· คอเลสเตอรอลมี 2 ชนิดที่สำคัญ คือ แอลดีแอล คอเลสเตอรอล (LDL cholesterol) เป็นไขมันตัวร้ายที่ทำให้หลอดเลือดตีบตัน มีผลทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมอง และเอชดีแอล คอเลสเตอรอล (HDL cholesterol) เป็นไขมันตัวดีที่จะนำไขมันชนิด LDL cholesterol ออกจากกระแสเลือดและนำกลับเข้าสู่ตับเพื่อกำจัดทิ้ง ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ

· คอเลสเตอรอลก็มีข้อดีเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็น ทำให้เยื่อหุ้นเซลล์ต่างๆไม่แห้ง ไม่ฉีกขาดง่ายและไม่ตาย ช่วยสังเคราะห์ฮอร์โมนจากต่อมไร้ท่อต่างๆ ควบคุมการทำงานของสมองและช่วยให้ร่างกายผลิตน้ำดีสำหรับการย่อย ทั้งยังช่วยดูดซึมวิตามินที่ไม่สามารละลายในน้ำ คือ วิตามิน A, D, E และK แต่ถ้าร่างกายมีคอเลสเตอรอลน้อยเกินไป ตับก็สร้างน้ำดีได้ไม่พอเพียงกับการนำไปใช้ย่อยและดูดซึมไขมัน มีผลต่อทุกๆระบบของร่างกาย ผนังเซลล์ของเราจะค่อยๆบางลงจนอ่อนแอ ไม่สามารต้านทานเชื้อโรคต่างๆได้

· คอเลสเตอรอลสูงเกิดจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมการบริโภคอาหาร ขาดการออกกำลังกาย ความเครียด กรรมพันธุ์ โรคที่เกี่ยวข้องกับการเผาผลาญพลังงาน เช่น โรคเบาหวาน โรคต่อมไทรอยด์ทำงานน้อย และการใช้ยาบางชนิดอย่างสเตียรอยด์

· การควบคุมคอเลสเตอรอลในเลือด สามารถทำได้หลายวิธี เช่น การควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย การลดความเครียด การใช้ยาลดคอเลสเตอรอล และการทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร

2/17/2553

สูดควันบุหรี่ แค่ 30 นาที ระวังเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ

ทีมนักวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ศึกษาวิจัยกลุ่มตัวอย่างผู้ไม่สูบบุหรี่แต่ได้รับควันบุหรี่เข้าไป พบว่าเพียงแค่ 30 นาที ควันมรณะจากบุหรี่ที่ผู้อื่นสูบก็สามารถสร้างความเสียหายใหญ่หลวงให้กับเซลล์และหลอดเลือดหัวใจได้

จากการทดลองในอาสาสมัครจำนวน 10 คน ที่ไม่สูบบุหรี่และมีอายุตั้งแต่ 29-31 ปี โดยได้ทดลองปล่อยควันบุหรี่เข้าไปให้ห้องทดลองที่มีอาสาสมัครอยู่ในนั้นเป็นเวลา 30 นาที ในอัตราที่ควบคุมไว้ให้มีปริมาณควันบุหรี่อบอวลอยู่ในห้องดังกล่าวเทียบเท่ากับปริมาณควันบุหรี่ที่พบได้ทั่วไปตามผับหรือบาร์ ผลการทดลองพบว่าควันบุหรี่ไปรบกวนการทำงานของสารเคมีในร่างกายที่ทำหน้าที่ส่งสัญญาณให้เอนโดธีเลียล โปรเจนิเตอร์เซลล์ ซึ่งเซลล์ต้นกำเนิดเอนโดธีเลียลเซลล์ที่สร้างจากไขกระดูก ให้ไปซ่อมแซมเส้นเลือดตรงบริเวณที่ได้รับความเสียหายและแม้จะได้รับควันบุหรี่เพียง 30 นาที แต่ 24 ชั่วโมงผ่านไปแล้วก็ยังมีผลอยู่ ที่สำคัญเมื่อเซลล์หลอดเลือดถูกทำลายและไม่สามารถซ่อมแซมตัวเองได้ ก็จะนำไปสู่โรคหลอดเลือดหัวใจได้


ข้อมูลจาก นิตยสารสุขภาพดี

2/07/2553

"นั่งหน้าคอมพ์จนปวดคอ" อย่านิ่งดูดาย

ใครที่รู้ตัวว่ากำลังปวดคอหรือมีความ เสี่ยงจะปวดคอจากการนั่งทำงาน (หรือเล่นเกม) หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์นานเกินไปอย่าได้นิ่งเฉย บทความนี้จะพาคุณไปพบกับทางออกที่จะทำให้คุณสามารถป้องกันและลดอาการปวดคอ ที่แสนทรมาน ก่อนจะไปเรียนรู้ท่าทางการป้องกันอาการปวดคอ คุณต้องรู้ก่อนว่าต้นเหตุอาการปวดคอนั้นไม่ได้มาจากการนั่งหน้าคอมพิวเตอร์ นานๆ แต่จะมาจากทุกกรณีที่ทำให้อิริยาบทของร่างกายเราผิดเพี้ยนไป

อาจารย์ผกาภรณ์ พู่เจริญ อาจารย์ประจำคณะสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) อธิบาย ว่าสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวดคอนั้น เริ่มที่การมีอิริยาบถไม่ถูกต้อง เช่น หนุนหมอนสูงเกินไป ก้มหรือเงยหน้านานๆ อาจจะทำงานหน้าคอมพิวเตอร์หรือเขียนหนังสืออ่านหนังสือเป็นเวลานานๆ โดยไม่หยุดพัก แถมการศึกษายังพบว่าอาการปวดคอมีสาเหตุมาจากการเสื่อมสมรรถภาพของกระดูก ส่งผลทำให้มีอาการปวดร้าวไปยังท้ายทอย แขน กล้ามเนื้อแขนอ่อนแรง ขณะเดียวกัน อาการปวดคออาจมีสาเหตุมาจากอารมณ์ตึงเครียดซึ่งส่งผลให้มีการเกร็งของกล้ามเนื้อคอเป็นเวลานาน “เมื่อเกิดอาการก็ต้องรีบรักษา" อาจารย์บอกว่าจะมีการแบ่งผู้ป่วยออกเป็น 2 ระยะ คือ

1.ระยะเฉียบพลัน 1 – 2 ผู้ที่มีอาการปวดคอต้องพยายามพักผ่อนกล้ามเนื้อคอโดยการนอนราบ ใช้น้ำแข็งประคบบริเวณที่เกิดการอักเสบ ใช้เวลาในการประคบประมาณ 15 – 20 นาที

2.ระยะเรื้อรัง ผู้มีอาการต้องยืดกล้ามเนื้อคอด้วยตัวเอง โดยใช้มือดันศีรษะไปในทิศทางที่หันไม่ได้ช้าๆ จนรู้สึกตึงทำค้างไว้ครั้งละประมาณ 10 วินาทีจำนวน 10 ครั้ง หรือจนอาการดีขึ้น แล้วประคบด้วยถุงน้ำร้อน 15 - 20 นาที หมั่นออกกำลังกายกล้ามเนื้อคออย่างสม่ำเสมอ หากมีอาการปวดมากขึ้น ควรรับการรักษาทางกายภาพบำบัด" อาจารย์ย้ำว่าทุกคนสามารถป้องกันไม่ให้เกิดอาการปวดคอได้ ด้วยการหลีกเลี่ยงการทำงานในลักษณะก้มหรือเงยหน้าเป็นเวลานาน และควรเปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆ ไม่นอนหนุนหมอนที่สูงและแข็งเกินไป และออกกำลังกายกล้ามเนื้อคออย่างสม่ำเสมอ อาจารย์ ผกาภรณ์ให้เคล็ดวิชา 4 กระบวนท่าออกกำลังกายเพื่อป้องกันอาการปวดคอ ได้แก่ ท่าก้มและเงยหน้า ท่าหันหน้าซ้ายและขวา ท่าเอียงคอซ้ายขวา และท่าเกร็งกล้ามเนื้อคอ
  • ท่าก้มและเงยหน้า จะเริ่มต้นด้วยการนั่งหรือยืนก็ได้ แต่ศีรษะต้องตั้งตรง จากนั้นค่อยๆ ก้มให้คางชิดอก แล้วเงยหน้าขึ้นช้าๆ ให้มากที่สุด ทำท่านี้ 5 – 10 ครั้ง
  • ท่าหันหน้าซ้ายและขวา จะเริ่มต้นด้วยนั่งหรือยืนก็ได้ จากนั้นหันไปทางซ้ายช้าๆ แล้วค่อยๆ หมุนศีรษะกลับมาทางขวา ทำซ้ำ 5 – 10 ครั้ง ข้อควรระวังหากมีอาการมึนศีรษะ ตาลายให้หยุดการออกกำลังกายทันที
  • ท่าเอียงคอซ้ายขวา จะนั่งหรือยืนก็ได้เหมือนเคย แต่ให้ศีรษะตรง จากนั้นเอียงศีรษะไปทางซ้ายช้าๆ ให้ทิศทางของใบหูจรดไหล่จนรู้สึกตึง ค่อยๆ เอียงศีรษะกลับมาทางขวาทำเช่นเดียวกัน ทำซ้ำประมาณ 5 – 10 ครั้ง
  • ท่าเกร็งกล้ามเนื้อคอ ให้ก้มหน้า วางมือบนหน้าผาก ออกแรงต้านกับการก้มหน้า ครั้งละ 10 วินาที ทำซ้ำ 5 – 10 ครั้ง เงยหน้า ประสานมือที่ท้ายทอย ออกแรงต้านกับการเงยหน้า ครั้งละ 10 วินาที ทำซ้ำ 5 – 10 ครั้ง เอียงคอ วางมือที่ด้านข้างซ้ายของศีรษะออกแรงต้านกับการเอียงคอไปด้านซ้าย วางมือด้านขวาของศีรษะแล้วทำเช่นเดียวกัน ครั้งละ 10 วินาที ทำซ้ำ 5 – 10 ครั้ง หันศีรษะ วางมือซ้ายบนขมับซ้ายออกแรงต้านกับการหันศีรษะไปด้านซ้าย วางมือขวาบริเวณขมับขวาแล้วทำเช่นเดียวกัน ครั้งละ 10 วินาที ทำซ้ำ 5 – 10 ครั้ง การดูแลตัวเองและป้องกันไม่ให้เกิดอาการปวดคอนั้นเป็นสิ่งที่ควรกระทำก่อน ที่จะปล่อยให้อาการปวดคอเกิดขึ้น

    ข้อมูลจาก โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

2/03/2553

โรคต่อมลูกหมากโต ผู้ชายควรรู้

โรคต่อมลูกหมากโต คืออะไร

ต่อมลูกหมากเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของระบบสืบพันธุ์เพศชาย อยู่บริเวณรอบท่อปัสสาวะที่อยู่ใต้ต่อกระเพาะปัสสาวะ ทำหน้าที่สร้างน้ำหล่อเลี้ยงอสุจิ และสารพีเอสเอ (PSA) ซึ่งเป็นสารที่ทำให้น้ำอสุจิไม่เกาะกันเป็นก้อนเหนียวข้น

เนื้องอกของต่อมลูกหมากจะโต เริ่มพบได้หลังอายุ 40 ปี แต่คนไข้ส่วนใหญ่จะแสดงอาการหลังจาก 50 ปี ไปแล้วเป็นส่วนใหญ่ อุบัติการณ์การพบเนื้องอกของต่อมลูกหมากจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆตามอายุที่มากขึ้น ต่อมลูกหมากโตไม่ใช่การเจ็บป่วย แต่เป็นลักษณะอาการที่พบได้ทั่วไปตามธรรมชาติเมื่อมีอายุมากขึ้น และเป็นภาวะที่สามารถรักษาได้ ในชายที่มีอายุ 60-69 ปี พบได้มากกว่าร้อยละ 50 และในผู้ที่มีอายุระหว่าง 70-89 ปี จะพบประมาณร้อยละ 90 ชายที่มีเนื้องอกต่อมลูกหมากเพียง 1 ใน 3 เท่านั้นที่ประสบปัญหาเดือดร้อนจากอาการของต่อมลูกหมากโต

เนื้องอกของต่อมลูกหมากจะโตมาจากต่อมลูกหมากบริเวณที่ล้อมรอบท่อปัสสาวะ (transition zone และ periurethral glandular tissue) กดเบียดท่อปัสสาวะทำให้มีอาการปัสสาวะลำบาก ในขณะที่มะเร็งของต่อมลูกหมากส่วนใหญ่ร้อยละ 70 จะมาจากต่อมลูกหมากทางด้านหลังที่อยู่ติดกับลำไส้ใหญ่ส่วนล่าง (peripheral zone)

สาเหตุของต่อมลูกหมากโต

ยังไม่มีหลักฐานยืนยันถึงสาเหตุที่แท้จริงของต่อมลูกหมากโต แต่เชื่อว่าเกิดจากการทำงานของฮอร์โมนเพศที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้เกิดการเพิ่มจำนวนต่อมและเนื้อเยื่อเกี่ยวพันของต่อมลูกหมากจนมีขนาดใหญ่ขึ้น
ขนาดของต่อมลูกหมากจะมีการโตขึ้นครั้งแรกจริงๆ เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น และน่าจะสัมพันธ์กับระดับของฮอร์โมนเพศชาย หรือเทสโทสเตอโรน (testosterone) ในช่วงอายุ 30-40 ปี ต่อมลูกหมากจะมีขนาดโตขึ้นเล็กน้อย หลังจากนั้นก็จะหยุดโต จนกระทั่งอายุ 45-50 ปี ก็อาจจะเกิดการขยายขนาดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆตามอายุ

อาการของต่อมลูกหมากโต

คนไข้ต่อมลูกหมากโตจะมีอาการแสดงซึ่งแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม อาการอย่างแรก คือ อาการปัสสาวะบ่อย ร่วมกับอาการแสบขัดได้ เนื่องจากการที่กระเพาะปัสสาวะหนาตัวขึ้นเพื่อเพิ่มแรงบีบตัว ให้สามารถปัสสาวะผ่านรูแคบๆได้ และภาวะติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะจากการที่ปัสสาวะตกค้างออกไม่หมด และอาการกลุ่มที่ 2 คือ การปัสสาวะลำบาก ไม่พุ่ง เบ่งนานกว่าจะออก เนื่องจากเนื้องอกต่อมลูกหมากซึ่งร้อยละ 40 อาการเกิดเนื่องจากขนาดของต่อมลูกหมากที่โตกดเบียดอุดกั้นบริเวณคอของกระเพาะปัสสาวะ ร้อยละ 60 อาการเกิดเนื่องจากการหดตัวของกล้ามเนื้อเรียบในเนื้องอกของต่อมลูกหมากทำให้ท่อปัสสาวะตีบแคบลง ในคนไข้บางรายหากไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้เกิดความเสียหายต่อไต เกิดนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ และในคนไข้บางรายกลั้นปัสสาวะไม่ได้

ดังนั้น การตรวจรักษาโรคต่อมลูกหมากโตตั้งแต่อาการเริ่มต้นก็จะช่วยลดโอกาสของการเกิดปัญหาแทรกซ้อนที่จะเกิดขึ้นตามมา

อาการที่พบ
· ปัสสาวะไม่พุ่ง ปัสสาวะสะดุด เบ่งนานกว่าจะออก
· เกิดความรู้สึกอยากถ่ายปัสสาวะขึ้นมาทันที และกลั้นปัสสาวะไม่อยู่
· มีปัสสาวะเล็ด หรือไหลเป็นหยดๆก่อนและหลังจากถ่ายปัสสาวะเสร็จแล้ว
· ปัสสาวะบ่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลากลางคืน

การรักษาโรคต่อมลูกหมากโต

ปัจจุบันมีการรักษาที่มีประสิทธิภาพ ในรายที่อาการน้อย การปรับพฤติกรรมอาจช่วยทำให้อาการดีขึ้นได้โดยไม่ต้องใช้ยาหรือการผ่าตัด ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับอาการของโรคและสภาพไตว่าได้รับการกระทบกระเทือนหรือไม่ ได้แก่ พยายามถ่ายปัสสาวะเมื่อรู้สึกปวด หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำมากเกินไปช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง และเวลาที่จะเข้านอน งดกาแฟ ชา เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้เข้าห้องน้ำบ่อย ถ้าอาการต่างๆไม่ดีขึ้นแพทย์จะให้ยาคลายกล้ามเนื้อเรียบในต่อมลูกหมาก หรือยาลดขนาดต่อมลูกหมากให้เล็กลง เพื่อทำให้ต่อมลูกหมากไม่เบียดท่อปัสสาวะหรืออาจให้ยาทั้ง 2 อย่างร่วมกัน แพทย็จะแนะนำการทำผ่าตัดแก้ไขการอุดกั้นทางเดินปัสสาวะ ถ้ามีข้อบ่งชี้ในการผ่าตัด ได้แก่ คนไข้ที่ปัสสาวะไม่ออกเลย แม้ว่าจะใด้ยาและลองใส่สายสวนปัสสาวะดูสักพักแล้ว

คำแนะนำในคนไข้ต่อมลูกหมากโต

· ลดน้ำดื่มหลังอาหารเย็นและก่อนนอน
· ไม่ให้ท้องผูก
· หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ กาแฟ ที่จะกระตุ้นให้ปัสสาวะบ่อย
· หลีกเลี่ยงยาหวัดชนดที่ลดอาการคัดจมูก เนื่องจากอาจจะทำให้กล้ามเนื้อเรียบในต่อมลูกหมากมีการบีบตัวมากขึ้น และหลีกเลี่ยงยาที่ลดการบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะ (anticholinergic drugs) เนื่องจากอาจจะทำให้ท่านปัสสาวะไม่ออก


ข้อมูลจาก รศ.นพ.สมบุญ เหลืองวัฒนากิจ

1/25/2553

ตกขาว…เรื่องคันๆที่ผู้หญิง ไม่กล้าเกา

ผู้หญิงแทบทุกคนมีตกขาว ปกติบ้าง ไม่ปกติบ้าง แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเมื่อไรควรหาหมอ เวลามีตกขาว สาวๆเคยนึกสงสัยหรือวิตกว่าตัวเองผิดปกติหรือป่วยเป็นโรคอะไรหรือเปล่า เรามีคำตอบจากคุณหมอสูติมาฝากค่ะ

ทำความรู้จักกับตกขาว

ตกขาวเป็นเยื่อบุผิวหนังภายในจุดซ่อนเร้นที่หลุดร่อนออกมาทางช่องคลอด เมื่อหมดอายุขัย(คล้ายกับขี้ไคล) ส่วนใหญ่สร้างขึ้นโดยช่องคลอด ปากมดลูกและอวัยวะข้างเคียงบริเวณปากช่องคลอด โดยเริ่มสร้างเมื่อเข้าสู่วัยรุ่นจนถึงวัยหมดประจำเดือนตามธรรมชาติ มีฤทธิ์เป็นกรด เพื่อป้องกันการติดเชื้อ

เยื่อบุผิวหนังในช่องคลอดผู้หญิงแต่ละคนมีปริมาณตกขาวไม่เท่ากัน บางคนอาจมีตกขาวมากจนเปื้อนชุดชั้นใน แต่บางคนอาจมีปริมาณน้อยจนไม่รู้ว่ามีตกขาวเลยก็ได้ และมีมากน้อยแตกต่างกันไปตามเวลาของรอบเดือน โดยช่วงประมาณวันที่ 14 ของรอบเดือนมักมีตกขาวมาก แบคทีเรียภายในก็จะเจริญเติบโตมาก ทำให้ตกขาวในช่วงนั้นมีกลิ่นเปรี้ยวได้บ้าง ถือว่าเป็นตกขาวที่ไม่ผิดปกติ


ตกขาวสุขภาพดีและตกขาวผิดปกติ

ตกขาวสุขภาพดี
· สีขาวขุ่น ลักษณะคล้ายแป้งเปียก
· ไม่มีกลิ่น อาจมีกลิ่นหวานหรือออกเปรี้ยวเล็กน้อย
· ไม่คัน ไม่ระคายเคือง ไม่มีผื่นแดงบริเวณช่องคลอด
· ปัสสาวะได้ปกติ ไม่แสบขัด
· ในช่วงกลางรอบเดือนที่มีการตกไข่ ตกขาวมีปริมาณเยอะ ลักษณะเป็นมูกใส ไม่มีกลิ่น ไม่คัน
· ขณะตั้งครรภ์ อาจมีตกขาวมากกว่าปกติ แต่ยังมีสีขาว ไม่มีกลิ่น ไม่คัน
· ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน มักมีตกขาวน้อยกว่าปกติ จากฮอร์โมนลดลง ช่องคลอดแห้ง

ตกขาวผิดปกติ
· ติดเชื้อไวรัส เช่น โรคเริมซึ่งเป็นโรคที่รักษาไม่หายขาด อาการเป็นตุ่มใสๆขนาดเล็กแล้วแตกเป็นแผลแสบ มีตกขาวสีเหลือง กลิ่นผิดปกติรุนแรง
· ติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น หนองใน ตกขาวมีสีเหลืองค่อนข้างเขียว ปัสสาวะแสบขัด และคันในบางราย
· ติดเชื้อรา ตกขาวมีลักษณะเป็นก้อนสีขาวคล้ายลิ่มนม มีกลิ่น คัน
· ติดเชื้อพยาธิ ตกขาวมีสีเหลือง อาจเห็นเป็นฟอง มีอาการคัน และมีกลิ่นเหม็นเหมือนกุ้งเน่าเล็กน้อย
· มีเนื้องอกหรือมะเร็งที่มดลูกหรือปากมดลูก ตกขาวมีกลิ่นเหม็นเน่ารุนแรง
· มีสิ่งแปลกปลอมค้างในช่องคลอด มีอาการอักเสบและติดเชื้อแบคทีเรีย ตกขาวมีสีเหลือง แสบ คัน

ตกขาวผิดปกติแล้วทำอย่างไร

ลืมเรื่องซื้อยาสอดมารักษาเองได้เลย เพราะนอกจากไม่ทำให้หายขาดแล้ว ยังอาจกลายเป็นโรคอักเสบเรื้อรังภายในหรือเชื้อโรคเกิดการดื้อยาได้ ดังนั้น หากคุณมีอาการเข้าข่ายผิดปกติ ควรปรึกษาสูตินารีแพทย์ เพื่อรับการตรวจภายใน ให้คุณหมอวินิจฉัยว่าเกิดเชื้อชนิดใด รวมทั้งรับการตรวจมะเร็งปากมดลูกประจำปีไปด้วยในคราวเดียวกันก็ไม่เสียเวลา

ส่วนสาวๆที่ไม่กล้าตรวจภายในเพราะกลัวเจ็บหรืออายหมอ ทำความเข้าใจเสียใหม่ค่ะ เพราะที่จริง หมอมีวิธีการตรวจอย่างนุ่มนวล ไม่น่ากลัว โดยเฉพาะถ้าเป็นผู้หญิงโสดที่ยังไม่เคยผ่านการมีเพศสัมพันธ์มาก่อน หมออาจเพียงใช้ไม้พันสำลีแบบคอตตั้นบัดให้เราแหย่เข้าช่องคลอดเองได้ ในกรณีที่ต้องการเพียงนำตกขาวมาตรวจ

ดูแลจุดซ่อนเร้นให้สุขภาพดี
· ทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นให้ถูกต้อง โดยทำความสะอาดเพียงภายนอกเท่านั้น ไม่สวนล้างช่องคลอดด้วยน้ำหรือน้ำยาใดๆ
· ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์
· เช็ดจุดซ่อนเร้นจากหน้าไปหลัง
· ไม่ใช้ยาปฏิชีวนะเป็นเวลานาน
· ใช้กางเกงในผ้าฝ้าย เพื่อให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก และไม่สวมกางเกงคับเกินไป
· ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพราะเมื่อร่างกายแข็งแรง ช่องคลอดจะสามารถผลิตแบคทีเรียแลคโตบาซิลัสเพิ่มขึ้น จึงสามารถป้องกันเชื้อโรคอื่นๆ ที่ทำให้เกิดตกขาวผิดปกติได้มากขึ้น


ข้อมูลจาก นิตยสารสุขภาพดี

1/20/2553

โรคอ้วนลงพุง...มฤตยูร้ายทำลายสุขภาพ


คนส่วนใหญ่มักมีน้ำหนักเพิ่มมากขึ้นอย่างมากเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น การมีน้ำหนักเกินจากเกณฑ์มาตรฐาน อาจเป็นที่มาของ โรคอ้วนลงพุง หรือ Metabolic Syndrome ซึ่งโรคนี้เป็นกลุ่มปัจจัยเสี่ยงทาง เมตาบอลิก ประกอบด้วย อ้วนลงพุง (ไขมันในช่องท้องมากเกิน) ภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ (ไตรกลีเซอไรด์สูง, เอชดีแอลคอเลสเตอรอลต่ำ และ แอลดีแอลคอเลสเตอรอลสูง) ความดันโลหิตสูง ระดับน้ำตาลในเลือดผิดปกติ

สำหรับเกณฑ์ในการวินิจฉัยนั้น The National Cholesteral Education Program (NCEP) Adult Treatment Panel II (ATP III), American Heart association (AHA) และ The National Heart, Lung, and Blood Institute เสนอแนะว่าหากมีปัจจัยเสี่ยง 3 ใน 5 อย่างต่อไปนี้จัดเป็น metabolic Syndrome ได้แก่ เส้นรอบวงเอวสำหรับคนเอเชีย ผู้ชายเท่ากับหรือ มากกว่า 90 เซนติเมตร ผู้หญิงเท่ากับหรือมากกว่า 80 เซนติเมตร ระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือด เท่ากับหรือมากกว่า 150 มก./ดล. เอชดีแอลคอเลสเตอรอล (ผู้ชาย- น้อยกว่า 40 มก./ดล, ผู้หญิง - น้อยกว่า 50 มก/ดล) ความดันโลหิต เท่ากับหรือมากกว่า 130/85 มม.ปรอท ระดับน้ำตาลในเลือด เท่ากับหรือมากกว่า 100 มก/ดล.พญ.รัชดา เกษมทรัพย์ ชมรมโภชนวิทยามหิดล เปิดเผยว่า โรคอ้วนลงพุง หรือ Metabolic Syndrome เป็นฆาตกรเงียบที่หลายคนคาดไม่ถึง ส่วนใหญ่เกิดจากพฤติกรรมการบริโภค กรรมพันธุ์ และการไม่ออกกำลังกาย คนที่อ้วนลงพุงจะมีไขมันสะสมในช่องท้องมากเกินไป ซึ่งไขมันที่สะสมนี้จะแตกตัวเป็นกรดไขมันอิสระเข้าสู่ตับ มีผลให้อินซูลินออกฤทธิ์ได้ไม่ดี เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน จนเกิดเป็นภาวะอ้วนลงพุง ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคเรื้อรังต่างๆ ตามมา เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง เบาหวาน เป็นต้น ซึ่งเราสามารถวางแผนการรับประทานอาหารด้วยการควบคุมน้ำหนัก ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินให้ถูกชนิด ปริมาณ และถูกเวลา รวมทั้งเคลื่อนไหวร่างกายให้มากขึ้น

แม้ว่าไขมันจะเป็นสาเหตุของการเกิดโรคร้ายต่างๆ แต่ไขมันเป็นสารอาหารสำคัญที่ร่างกายขาดไม่ได้ ทั้งยังเป็นส่วนประกอบในอาหารทุกมื้อจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก อ.ศัลยา คงสมบูรณ์เวช นักกำหนดอาหารขึ้นทะเบียนวิชาชีพประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้ให้การปรึกษาด้านโภชนบำบัด ได้แนะนำว่า ในสมัยก่อนนักโภชนาการส่วนใหญ่จะแนะนำให้ผู้บริโภคทานอาหารที่มีไขมันต่ำ จนทำให้หลายคนกลัวการกินไขมัน แต่กลับบริโภคอาหารคาร์โบไฮเดรตมากขึ้น บางคนไม่กินไขมันหรือกินน้อยมากจนทำให้ขาดกรดไขมันจำเป็นไปเลยก็ว่าได้ แต่ในปัจจุบันมีข้อมูลการวิจัยใหม่ๆ แนะการเลือกชนิดของไขมันหรือน้ำมันที่ดี ในปริมาณที่เหมาะสมกับพลังงานที่ใช้ไปในชีวิตประจำวัน เพื่อลดความเสี่ยงโรคได้ น้ำมันที่ดีที่ควรรับประทาน ควรมีองค์ประกอบของกรดไขมันอิ่มตัวต่ำและไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียวสูง ได้แก่ น้ำมันมะกอก น้ำมันเมล็ดชา น้ำมันคาโนลา เป็นต้น ซึ่งจะช่วยลดระดับคอเลส เทอรอลโดยไม่ลดเอชดีแอล ช่วยลดไตรกลีเซอไรด์ได้ และสามารถนำไปใช้แทนคาร์โบไฮเดรตได้ด้วย

“น้ำมันเมล็ดชา” มีใช้ในราชวงศ์ซ้องของจีนมากว่า 2,300 ปี โดยได้มีการบันทึกคุณสมบัติด้านสุขภาพไว้ว่าช่วยลดคอเลสเทอรอล ปัจจุบันมีกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และการวิจัยถึงคุณสมบัติที่ดีของน้ำมันเมล็ดชา พบว่าน้ำมันเมล็ดชามีสัดส่วนกรดไขมันชนิดต่างๆ ในปริมาณที่ดีไม่ด้อยไปกว่าน้ำมันมะกอก คือ มีกรดไขมันอิ่มตัวต่ำ มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียวในรูปของกรดโอเลอิกสูงถึง 88% มีกรดไขในไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่งในรูปของโอเมกา 6, 3 เป็นต้น นอกจากนี้ ยังอุดมด้วยวิตามินเอ บี ดีและอีสูง ซึ่งวิตามินอีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระจึงช่วยยืดอายุการใช้งานของน้ำมันให้นานขึ้น และมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง คือสารแคททีชิน ซึ่งเป็นสารโพลีฟีนอลที่ช่วยลดการออกซิเดชั่นของแอลดีแอล จึงช่วยป้องกันหลอดเลือดตีบตัน และป้องกันการอักเสบของเนื้อเยื่อ ลดอนุมูลอิสระ จึงช่วยลดความเสี่ยงปัญหาสุขภาพ และน้ำมันเมล็ดชา สามารถนำไปประกอบอาหารได้หลากหลายชนิด เช่น น้ำสลัด ผัด ทอด หรือการหมัก เป็นต้น อย่างไรก็ตาม การใช้น้ำมันจะต้องเลือกชนิดและอ่านฉลากข้อมูลโภชนาการให้ละเอียด รวมทั้งรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ในสัดส่วนที่เหมาะสม เน้นผักผลไม้ที่มีกากใยมากๆ และต้องออกกำลังกายควบคู่ไปด้วยจึงจะช่วยส่งเสริมสุขภาพ ลดความเสี่ยงโรคร้าย และห่างไกลภาวะอ้วนลงพุง


ที่มา : ดร. อภิสิทธิ์ ฉัตรทนานนท์ ประธานมูลนิธิคุณแม่คุณภาพ

เคล็ดลับ แก้รักแร้ดำ

บางคนดูแลใต้วงแขนอย่างดี ก็ยังมีรักแร้ดำคล้ำ แต่บางคนไม่ต้องดูแลอะไรเลยก็อาจมีใต้วงแขนขาวได้ ทั้งนี้เพราะผู้หญิงแต่ละคนมีผิวที่ตอบสนองต่อปัจจัยกระตุ้นไม่เท่ากัน

สาเหตุที่ทำให้รักแร้ดำแบ่งเป็น ปัจจัยภายในและภายนอก โดยปัจจัยภายในข้อแรกเป็นเรื่องของพันธุกรรม เป็นผิวประเภทมีลักษณะอักเสบแพ้ง่ายหรือแห้งง่าย สองคือ เป็นคนรูปร่างอวบอ้วน สังเกตว่าผิวหนังบริเวณบริเวณที่เป็นข้อพับ เช่น ข้อศอก หรือขาหนีบ มักมีสีคล้ำกว่าบริเวณอื่น เพราะมีการเสียดสีกันตลอดเวลา ดังนั้นยิ่งรูปร่างอ้วนเท่าไร โอกาสที่รักแร้จะดำคล้ำยิ่งมากขึ้นเท่านั้น เพราะเป็นบริเวณที่อับชื้นและมีการเสียดสี ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการคัน ระคายเคืองตามมา

ปัจจัยภายในข้อสุดท้ายคือ มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน โรคผิวหนังอักเสบเรื้อรัง ผู้ป่วยโรคเบาหวานมักติดเชื้อได้ง่าย ผิวหนังอักเสบง่าย และลุกลามไปถึงใต้วงแขน ทำให้มีสีดำคล้ำผิวหนาเป็นรอยย่นเหมือนกำมะหยี่

ปัจจัยภายนอกคือ เกิดจากสิ่งกระตุ้น เช่น เครื่องสำอางหรือโรลออนที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์หรือส่วนผสมที่ทำให้แพ้ง่าย หรือน้ำหอม ของพวกนี้ใช้บ่อยๆก็สามารถทำให้รักแร้ดำง่าย เนื่องจากเป็นการตอบสนองของร่างกาย

ปัจจัยภายนอกอีกปัจจัยหนึ่ง คือ การถอนขนรักแร้ บางคนถอนแล้วไม่เป็นไรแต่บางคนถอนแล้วรูขุมขนอุดตัน เกิดการอักเสบ บวมแดง และมีสีคล้ำภายหลัง

การแก้ไขทำได้โดยการหลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้เกิดรักแร้ดำ เช่น ลดน้ำหนัก หันไปใช้เครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์ใต้วงแขนที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ ไม่มีกรด (สังเกตว่าโดยมากผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำหอมมักทำให้เกิดอาการแพ้ได้ง่าย) ซึ่งปัจจุบันมีวางขายตามร้านขายยาทั่วไป โดยราคาอาจสูงกว่าปกติเล็กน้อย หรือเปลี่ยนไปใช้วิธีกำจัดขนใต้วงแขนวิธีอื่น เช่น การแว็กซ์ หรือยิงเลเซอร์ซึ่งเป็นการกำจัดขนถาวร

การใช้เลเซอร์เป็นการยิงเลเซอร์กำจัดขนทีละจุด ช่วยยับยั้งการผลิตเม็ดสีผิว ช่วยปรับจากสีเข้มให้จางลงได้ เป็นการแก้ปัญหาจากภายในชั้นผิวหนัง ปัจจุบันถือเป็นวิธีที่แพร่หลาย ไม่เป็นอันตรายและแทบไม่มีผลข้างเคียง อาจรู้สึกเจ็บในระยะแรกที่ทำเท่านั้น แต่ข้อเสียคือค่าใช้จ่ายที่สูง และไม่รับประกันผล 100% อาจได้ผลสำหรับบางคนและไม่ได้ผลกับบางคน

สำหรับคนที่ชอบวิธีธรรมชาติ อันดับแรกให้หลีกเลี่ยงการใช้สารส้มเพราะมีฤทธิ์เป็นกรดซึ่งอาจกระตุ้นให้เกิดการแพ้ของบริเวณเนื้ออ่อนของรักแร้ทำให้รักแร้ดำ แม้ช่วยดับกลิ่นได้ก็ตาม จากนั้นเวลาอาบน้ำ ระหว่างฟอกสบู่ใหใช้ที่ขัดผิวขัดบริเวณรักแร้เบาๆ เพื่อขจัดเซลล์ผิวหมองคล้ำออกไปได้บ้าง อาจใช้นมผสมน้ำผึ้ง หรือนมผสมน้ำมะขามเปียกขัดเบาๆ แล้วล้างด้วยสบู่ให้สะอาด หลังอาบน้ำและเช็ดตัวแห้งแล้ว แนะนำให้ใช้ครีมประเภทไวเทนนิ่ง (สำหรับทาหน้า) ทาบริเวณใต้วงแขนและผึ่งให้แห้ง สุดท้ายทาแป้งฝุ่นทับเพื่อลดการเสียดสี ซึ่งเป็นอีกวิธีที่ช่วยให้รักแร้ขาวขึ้นได้ แต่ต้องใช้เวลานานเป็นเดือนหรือครึ่งปี จึงเห็นผล

สำหรับผลิตภัณฑ์ใต้วงแขนที่โฆษณาว่าช่วยให้รักแร้ขาวขึ้นได้จริงหรือไม่นั้น ขอบตอบว่าเป็นไปได้ หากผลิตภัณฑ์นั้นมีส่วนผสมของไวเทนนิ่ง และมีการใส่ผงแป้งลดการเสียดสีใต้วงแขนรวมทั้งป้องกันยูวีได้ แต่ใช้เวลานานกว่าจะเห็นผล คือตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป และแนะนำให้เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นแท่งครีมมากกว่าลูกกลิ้ง เพราะมีการเสียดสีน้อยกว่า


ข้อมูลจาก นิตยสารสุขภาพดี

1/14/2553

นอนกัดฟัน

บางคนนอนกัดฟันเสียงดังมากในเวลาหลับ ส่วนใหญ่มาจากสองสาเหตุ อย่างแรกคือ จิตใจที่ตึงเครียด ซึ่งทันตแพทย์จะแนะนำให้ไปปรึกษาจิตแพทย์เพื่อค้นหาสาเหตุ และให้คำแนะนำแก้ไขปรับปรุงการดำเนินชีวิตประจำวัน

อีกสาเหตุหนึ่งมาจาก การสบฟันที่ผิดปกติ คือ ฟันบนและล่างสบกันไม่ดี แก้ไขโดยการจัดฟันที่อยู่ผิดตำแหน่ง โดยต้องบูรณะฟันธรรมชาติที่เหลืออยู่ให้มีสภาพสมบูรณ์ ผู้ป่วยที่นอนกัดฟันทั้งสองสาเหตุ ทันตแพทย์จะทำ ยางกันฟัน ให้ผู้ป่วยใส่นอนเพื่อป้องกันฟันสึก และตัดวงจรการสัมผัสของฟันบนและฟันล่าง ซึ่งจะลดอาการนอนกัดฟันได้

ข้อมูลจาก นิตยสารสุขภาพดี

1/06/2553

รู้จักกับไข้เลือดออก

สาเหตุของไข้เลือดออกมาจากเชื้อไวรัส ซึ่งเป็นพี่น้องกับเชื้อไวรัสที่ทำให้เป็นไข้หวัดทั่วไป อาการหลังรับเชื้อ 2-3 วันแรกจึงเหมือนกับไข้หวัดทุกอย่าง โดยมียุงลายเป็นพาหะนำโรค ซึ่งหากินตอนกลางวันเท่านั้น จะไข่และแพร่พันธุ์ตามน้ำขัง เช่น ตามกระถางต้นไม้ ร่องน้ำ แจกันดอกไม้ น้ำเน่า น้ำคลอง เมื่อกลายเป็นยุงก็นำเชื้อไวรัสมาสู่คน แต่ไม่ติดจากคนสู่คน ติดจากยุงเท่านั้น เมื่อร่างกายรับเชื้อแล้วจะมีไข้ ปวดเมื่อยตามตัว อาจคลื่นไส้ มีน้ำมูก ไอ เจ็บคอได้ สิ่งที่สำคัญอันดับแรกในการวินิจฉัยโรค คือ การเช็คประวัติว่าถูกยุงกัดหรือไม่ บริเวณบ้านมีน้ำเน่าหรือน้ำขังที่เป็นแหล่งอาศัยของยุงหรือเปล่า

สิ่งที่พิสูจน์ได้ชัดเจนและน่าเชื่อถือที่สุดของการตรวจพบเชื้อไข้เลือดออกคือ การตรวจเลือด โดยถ้ามีไข้ต่อเนื่องกันเกิน 48 ชั่วโมง ควรเข้ารับการตรวจเลือดทันที ส่วนอาการมักรุนแรงกว่าไข้หวัดทั่วไป คือ มีอาการคลื่นไส้อาเจียน ไม่อยากอาหาร ปวดเมื่อยตามตัวมาก ไข้ขึ้นสูง ถ้าเป็นเด็กจะมีอาการซึม ไม่ค่อยเล่น รวมทั้งอาจมีอาการปวดบริเวณใต้ลิ้นปี่ ปวดเสียดท้องจากเลือดออกในกระเพาะอาหารร่วมด้วยได้

อาการแทรกซ้อน

ทางการแพทย์เชื่อว่าผู้ป่วยมีโอกาสเลือดออกในกระเพาะอาหารอยู่แล้ว แต่อาจออกไปเยอะ แค่อาการปวดท้องใต้ลิ้นปี่ธรรมดาก็เตือนเราแล้วว่าอาจมีปัญหาแทรกซ้อนจากโรคไข้เลือดออก แต่หากถึงขั้นอาเจียนเป็นเลือด หรือถ่ายเป็นยางมะตอย (มูกสีดำ) แสดงว่ามีเลือดออกในกระเพาะอาหารมาก อาการถึงขั้นรุนแรงแล้ว ต้องรีบพบแพทย์ด่วน อาการรุนแรงที่สุดของไข้เลือดออก คือ มีอาการแทรกซ้อน เช่น เลือดออกในกระเพาะอาหาร เลือดออกในสมอง เลือกออกไม่หยุด เลือดออกจากทวารทั้งเจ็ด ซึ่งถึงขั้นเสียชีวิตได้ในที่สุด

การรักษา

การรักษาไข้เลือดออก ไม่สามารถรักษาเองที่บ้านได้ ต้องไปพบแพทย์เท่านั้น ไข้เลือดออกมีหลายระดับ หากเป็นระดับธรรมดา ตามทฤษฎีแล้วหายได้เอง เพียงผู้ป่วยกินยาลดไข้ พักฟื้นดูอาการที่บ้านได้ แต่ต้องให้แพทย์วินิจฉัยและตัดสินใจ ไม่ควรปล่อยให้ติดเชื้อนานกว่า 3-4 วัน เพราะจะเริ่มมีผลแทรกซ้อน เกล็ดเลือดต่ำ ถึงขั้นภาวะช็อคได้ซึ่งเป็นอันตรายมาก

ระยะอันตรายของโรคนี้ตรงข้ามกับโรคอื่นตรงที่ โรคอื่นช่วงที่มีไข้เป็นช่วงที่อันตราย พอไข้ลงก็หาย แต่ไข้เลือดออกช่วงที่มีไข้ ผู้ป่วยอาจดูซึม ย่ำแย่ แต่ยังปลอดภัย เพราะจุดที่อันตรายของไข้เลือดออกอยู่ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ไข้ลง เนื่องจากช่วงที่ไข้ลงจะมีภาวะการตีบกลับของน้ำของเลือดในร่างกาย ทำให้อาจเกิดภาวะช็อคได้ ดังนั้น จึงมีหลักการรักษาด้วยน้ำเกลือ ซึ่งต้องอยู่ในดุลพินิจของแพทย์ ส่วนการรักษาอื่นๆ เหมือนการรักษาโรคไข้หวัดทั่วไป เป็นการรักษาตามอาการ เป็นไข้กินยาลดไข้ มีน้ำมูกกินยาลดน้ำมูก ไอ หรือเจ็บคอก็กินยาแก้ตามนั้น

ข้อมูลจาก นพ. วชิระ คุณาธาทร
นิตยสารสุขภาพดี

1/04/2553

ปรับพฤติกรรม กำจัดกลิ่นตัว

ปกติแล้วทุกคนจะมีกลิ่นกายเฉพาะตัว ซึ่งเป็นกลิ่นธรรมชาติ กลิ่นตัวนั้นเกิดจากการที่ต่อมของร่างกายขับเหงื่อและไขมันออกมาทางผิวหนัง ทำให้เกิดความชื้น ส่งผลให้เกิดการเปื่อยยุ่ยและลอกออกของผิวหนัง จากนั้นแบคทีเรียและเชื้อราก็จะกินเซลล์ที่ตายแล้วและขับกรดออกมา ทำให้เกิดกลิ่นเหม็น

บริเวณที่มักขับเหงื่อออกมามากที่สุดคือที่อับชื้น ได้แก่ รักแร้ ซอกขา ซอกนิ้วเท้า ข้อพับต่างๆ อวัยวะเพศ แต่ด้วยเป็นจุดอับ เวลาเหงื่อออกจึงระเหยไปได้ยาก ทำให้เกิดการหมักหมมเป็นกลิ่นเหม็น กลิ่นตัวของคนจะแรงขึ้นเมื่อย่างสู่วัยรุ่น เนื่องจากอิทธิพลของฮอร์โมนเพศ

นอกจากนี้อาหารบางชนิด เช่น ไขมันจากสัตว์ เนื้อสัตว์ สะตอ กระเทียม หัวหอม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ ตลอดจนยาบางชนิดก็อาจเป็นสาเหตุการเกิดกลิ่นตัวได้เช่นกัน เช่น การใช้ยารักษาสิวทั่วไปที่มี สารเบนซอยล์เพอร็อกไซด์ (Benzoyl Peroxide) ผสมอยู่เป็นประจำ รวมถึงโรคประจำตัวอื่นๆ ทั้งท้องผูก ตับอักเสบ ไต เบาหวาน พยาธิในระบบทางเดินอาหาร และมะเร็ง ก็เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดกลิ่นตัวเช่นกัน โดยทั่วไปกลิ่นตัวมักหายไปเองเมื่ออาบน้ำ หรือแม้กระทั่งการใช้สารพัดผลิตภัณฑ์ดับกลิ่น

ปรับพฤติกรรมกำจัดกลิ่น

- รักษาความสะอาดร่างกายและเสื้อผ้า
- ผ่อนคลายความเครียด บางครั้งความเครียดก็มีส่วนทำให้เกิดกลิ่นตัวได้เหมือนกัน เพราะร่างกายจะหลั่งสารอะดรีนาลินออกมา
- ทำดีท็อกซ์ การสะสมสารพิษในร่างกายก็เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดกลิ่นตัวเช่นเดียวกัน ปัญหานี้แก้ได้ด้วยการทำดีท็อกซ์
- ไม่ควรขัดผิวบ่อยๆ เพราะจะทำให้แบคทีเรียที่มีประโยชน์กับร่างกายถูกทำลาย ทำให้เกิดกลิ่นตัวง่าย ดังนั้นขัดผิว 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ก็พอ

ลดปัญหากลิ่นตัวด้วยอาหาร

- กินอาหารหลากหลาย กินโปรตีนจำพวกธัญพืชต่างๆ ผักสดทั้งใบเขียวและใบเหลือง ผลไม้สด
- เลี่ยงการกินอาหารที่มีกลิ่นแรง เช่น กุยช่าย ขิงสด สะตอ หัวหอม กระเทียม และเครื่องเทศต่างๆ รวมถึงเลี่ยงการสูบบุหรี่และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
- เลี่ยงอาหารก่อพิษ จำพวกเนื้อสัตว์ใหญ่ ทั้งหมู เนื้อ ไก่ ไข่ และตับ รวมทั้งช็อกโกแลต ลูกเกด ถั่วลิสง เพราะจะทำให้ต่อมไขมันใต้ผิวหนังขับไขมันออกมามาก โดยเฉพาะใต้วงแขน และที่สำคัญ จะก่อให้เกิดสารตกค้างในลำไส้ ทำให้เหงื่อมีกลิ่นเฉพาะตัว


ข้อมูลจาก ศรีสุภา ส่งแสงขจร