8/25/2553

มะเร็งจิสต์ โรคใหม่ใกล้ตัว

มะเร็งเนื้อเยื่อระบบทางเดินอาหาร หรือ "มะเร็งจิสต์" (Gastrointestinal Stromal Tumor: GIST) เป็นมะเร็งระบบทางเดินอาหารที่เพิ่งเป็นที่รู้จักเมื่อ 6 ปีก่อน และคนไทยมีแนวโน้มจะเป็นกันมากขึ้นทั้งผู้ชายและผู้หญิง ในอดีตมะเร็งจิสต์มักถูกวินิจฉัยผิดเป็นมะเร็ง "กล้ามเนื้อเรียบ" เพราะเกิดในระบบทางเดินอาหารและมีอาการของโรคคล้ายกัน แต่สาเหตุของมะเร็งจิสต์เกิดจากความผิดปกติของยีน c-kit และพบที่กระเพาะอาหารและลำไส้เล็กบ่อยที่สุด ไม่เกี่ยวกับอาหารหรือสารพิษที่เข้าสู่ร่างกายอย่างที่เคยเข้าใจ

อาการแสดงของมะเร็งจิสต์ขึ้นอยู่กับขนาด ตำแหน่ง และการแพร่กระจายของก้อนมะเร็ง อาการที่พบบ่อย เช่น ปวดท้อง มีก้อนในท้อง และเลือดออกในทางเดินอาหาร แต่ผู้ป่วยบางรายอาจไม่แสดงอาการใดๆ ให้รู้เลยก็ได้ การวินิจฉัยต้องตรวจโดยนำชิ้นเนื้อไปย้อมพิเศษ เรียกว่า IHC ซึ่งจะย้อมติด CD117

การผ่าตัดเป็นวิธีหลักในการรักษามะเร็งจิสต์ในกรณีโรคอยู่เฉพาะที่ ในกรณีที่โรคมีการแพร่กระจายหรือผ่าตัดไม่ได้อาจใช้ยาช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ซึ่งได้ผลดีถึงร้อยละ 70 แต่ข้อเสียคือค่าใช้จ่ายในการรักษาสูง เนื่องจากยามีราคาแพงมาก

หากคุณมีอาการปวดท้องรุนแรง คลำเจอก้อนเนื้อที่ท้อง มีเลือดออกในระบบทางเดินอาหาร อาเจียนเป็นเลือด หรือตัวซีด ให้รีบไปพบแพทย์ทันที เพราะนี่อาจเป็นสัญญาณเบื้องต้นของมะเร็งจิสต์ค่ะ

ข้อมูลจาก นพ.วิเชียร ศรีมุนินทร์นิมิต คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล

ที่มา นิตยสาร Health&Cuisine

8/06/2553

"โบท็อกซ์" อีกทางเลือกเพื่อลดริ้วรอย

การฉีดโบท๊อกซ์เพื่อลดริ้วรอยกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วในแวดวงสังคมชั้นสูงและดารานักแสดงต่างประเทศ ถึงขนาดมีงานเลี้ยงสังสรรค์ผู้ที่ได้รับการฉีดโบท๊อกซ์ ชื่อว่า "Botox Party"
แต่ในทางตรงกันข้าม ยังมีคนอีกมากที่รู้สึกกังขา และต้องการทราบข้อมูลที่ถูกต้องเพื่อช่วยในการตัดสินใจ

โบท็อกซ์ (Botox) เป็นชื่อการค้าของสารโบทูลินั่ม ท็อกซิน ชนิดเอ (Botulinum toxin type A) ที่ผลิตในสหรัฐอเมริกา ส่วนชนิดที่ผลิตในอังกฤษมีชื่อการค้าว่า ดีสพอร์ต (Dysport) แต่คนส่วนใหญ่เรียกกันว่าโบท็อกซ์จนติดปากไปเสียแล้ว

โบท็อกซ์สกัดมาจากแบคทีเรียชื่อ Clostridium Botulinum ผ่านกระบวนการทำให้บริสุทธิ์ มีฤทธิ์ช่วยคลายกล้ามเนื้อบนใบหน้าที่เป็นสาเหตุของการเกิดรอยย่น เนื่องจากการแสดงสีหน้าทางอารมณ์ซ้ำๆจนทำให้กล้ามเนื้อหดเกร็งตลอดเวลา เมื่อฉีดสารนี้แล้วกล้ามเนื้อจะคลายตัวเพราะไปยับยั้งสารเคมีที่ทำให้กล้ามเนื้อหดตัว ส่งผลให้ริ้วรอยต่างๆลดลง

ริ้วรอยที่รักษาแล้วได้ผลดี คือ ริ้วรอยบริเวณหน้าผาก รอยย่นระหว่างคิ้ว และรอยตีนกาที่หางตา นอกจากนี้ยังมีการนำโบท๊อกซ์มาใช้ฉีดยกคิ้ว ลดกรามในคนที่มีหน้าเหลี่ยม ลดกล้ามเนื้อน่องขา และลดอาการปวดศีรษะไมเกรนได้ด้วย ขณะฉีดจะรู้สึกเจ็บเพียงเล็กน้อยคล้ายมดกัด ใช้เวลารักษาประมาณ 5-10 นาที ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ต้องการฉีด หลังฉีดไม่ต้องพักฟื้น สามารถกลับไปทำงานต่อได้ทันที จะเริ่มเห็นผลหลังจากนั้นราว 2-7 วันและอยู่ได้นาน 3-4 เดือน เมื่อยาหมดฤทธิ์ริ้วรอยจะค่อยๆกลับมาเหมือนเดิม แต่ไม่แย่ลงกว่าเดิม

ผลข้างเคียงที่อาจพบได้ คือ รอยช้ำที่เกิดจากปลายเข็มฉีดยาซึ่งสามารถแต่งหน้ากลบได้ รอยจะค่อยๆหายไปเองใน 5-7 วัน นอกจากนี้ยังอาจพบกรณีคิ้วหรือหนังตาตกอันเนื่องมาจากการแพร่ของโบท็อกซ์ไปยังกล้ามเนื้อข้างเคียง ซึ่งอาการจะค่อยๆหายไปเองภายใน 3-4 สัปดาห์

การเตรียมตัวก่อนไปฉีดโบท็อกซ์ ควรงดรับประทานยาที่ทำให้เลือดแข็งตัวช้า เช่น แอสไพริน ก่อนฉีด 7 วัน เพื่อไม่ให้เกิดการช้ำมาก หลังฉีดโบท๊อกซ์ควรขยับกล้ามเนื้อที่รับการฉีดทุก 15 นาที เป็นเวลา 3 ชั่วโมง เช่น หากได้รับการฉีดที่หน้าผากให้เลิกคิ้ว ฉีดที่หว่างคิ้วให้ขมวดคิ้ว หรือฉีดบริเวณหางตาให้ยิ้ม ห้ามนอนราบหลังฉีด 3 ชั่วโมง และไม่ควรนวดหน้าในสัปดาห์แรก

ในแง่ของความปลอดภัย โบท็อกซ์ถือว่ามีความปลอดภัยสูง เพราะได้รับอนุญาตจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ปี ค.ศ.1989 เพื่อใช้ในการฉีดลดริ้วรอยเพื่อความสวยงาม

ส่วนในแง่ของสารพิษนั้น คำนวณดูแล้วปริมาณที่ใช้ในการรักษาถือว่าน้อยมากๆ จนไม่อาจเกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายต่อชีวิตได้ค่ะ

ข้อมูลจาก พญ.ปริมา เลาหธนาพร