3/24/2553

Functional Drink ดื่มแล้วฉลาด ชะลอแก่ได้จริงหรือ?

สารอาหารทั้ง 5 นี้พบได้มากขึ้นในเครื่องดื่มที่มีขายตามท้องตลาด ซึ่งผู้ผลิตพากันแข่งขันเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคปัจจุบันที่เน้นกระแสรักสุขภาพ เครื่องดื่มทั่วไปที่คุ้นตาจึงพัฒนามาเป็น Functional drink หรือเครื่องดื่มทางเลือก และเพื่อให้เข้าใจว่าสารอาหารทั้ง 5 มีประโยชน์อย่างไร มารู้จักความหมาย หน้าที่ และกลไกการทำงาน รวมทั้งแหล่งอาหารตามธรรมชาติของสารอาหารเหล่านี้กันดีกว่า
แอลกลูตาไธโอน (L-glutathione) หรือกลูตาไธโอน
ช่วยขจัดสารพิษหรือขับของเสียโดยเฉพาะอย่างยิ่งในตับ และยังทำหน้าที่เปลี่ยนสารพิษกลุ่มที่ไม่ละลายน้ำ เช่น สารพิษในอาหารปิ้ง ย่าง รมควัน สารพิษจากเชื้อราต่างๆ หรือยาบางชนิดให้เป็นสารที่ละลายน้ำได้เพื่อให้ร่างกายกำจัดออกได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นผู้ช่วยของเอนไซม์ที่ทำลายอนุมูลอิสระ ซึ่งเสริมการทำงานของวิตามินซีและอี ช่วยป้องกันตับจากการถูกทำลายโดยแอลกอฮอล์และบุหรี่ จึงเป็นจุดเด่นที่ผู้ผลิตเครื่องดื่มบางชนิดนำมาใช้ชูโรง ซึ่งก็ได้ผลตอบรับอย่างดีจากคอแอลกอฮอล์ที่ยังห่วงใยสุขภาพ

กลูตาไธโอนพบได้ทั่วไปในเนื้อสัตว์ ผลไม้และผัก โดยเฉพาะหน่อไม้ฝรั่ง โดยปกติร่างกาย ผลิตสารนี้ได้เอง นอกจากคนที่เป็นโรคบางชนิด เช่น โรคตับ เบาหวาน ความดัน รวมถึงผู้สูบบุหรี่จัด อย่างไรก็ดีจากรายงานวิจัยของสถาบันวิจัยโภชนาการพบว่า กลูตาไธโอนที่อยู่ในอาหารเสริมหรือเครื่องดื่มนั้นจะถูกดูดซึมเข้าสู่ระบบทางเดินอาหารได้ไม่ดีนัก และไม่ควรรับประทานเกิน 250 มิลลิกรัมต่อวัน ฉะนั้นการโฆษณาว่าเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกลูตาไธโอนแก้เมาค้างและบำรุงตับได้นั้น จึงเป็นการกล่าวอ้างที่ยังไม่ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาหรือ อย.


แอลคาร์นิทีน (L-carnitine)

อีกหนึ่งสารที่ร่างกายสร้างได้เองภายในตับและไต ทำหน้าที่เปลี่ยนกรดไขมันให้เป็นพลังงาน เพื่อให้กล้ามเนื้อทั่วร่างกายนำไปใช้ ไม่ว่าจะเป็นแขน ขา กล้ามเนื้อหัวใจ สมอง และช่วยระบบเผาผลาญ ในเพศชาย แอลคาร์เนทีนยังมีส่วนเพิ่มการผลิตและควบคุมการเคลื่อนที่ของสเปิร์มด้วย ข้อดีของแอลคาร์เนทีนที่ถูกยกมาเป็นจุดขายของผลิตภัณฑ์ คือ ให้พลังงานมากขึ้นจึงเหมาะสำหรับผู้รักการออกกำลังกาย พร้อมทั้งช่วยเผาผลาญไขมัน

ประโยชน์อื่นๆ ของแอลคาร์เนทีน
แอลคาร์เนทีนทำให้เราแก่ช้าลง เพราะเมื่ออวัยวะต่างๆ ได้รับพลังงานเพียงพอ เซลล์ของอวัยวะนั้นๆ ก็จะมีอายุยืนยาวขึ้น ทำให้ค่าไตรกลีเซอไรด์อยู่ในระดับต่ำ พร้อมกันนั้นยังช่วยเพิ่มคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) ในเส้นเลือด และช่วยป้องกันโรคหัวใจ ช่วยให้น้ำหนักลดเมื่อเราลดการรับประทานแป้ง ลดความเสียหายของเซลล์ประสาทจากความเครียด ช่วยป้องกันอัลไซเมอร์ในคนอายุน้อย ช่วยในการทำงานของตับและภูมิคุ้มกันของร่างกาย

สารแอลคาร์เนทีน พบมากในเนื้อแดง นม ผลิตภัณฑ์จากนม ธัญพืช ผักใบเขียว อะโวคาโด ถั่วรับประทานทั้งฝัก อัลฟาฟ่า และผลิตภัณฑ์จากถั่วหมัก ภาวะขาดแอลคาร์เนทีนอาจเกิดได้กับผู้ที่รับประทานมังสวิรัติ รวมทั้งผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยและดูดซึมอาหาร เด็กและสตรีมีครรภ์ไม่ควรได้รับแอลคาร์เนทีนในรูปของผลิตภัณฑ์หรือเครื่องดื่มที่เสริมสารอาหาร

โคเอนไซม์คิวเท็น (Co-enzyme Q10)

เป็นสารอาหารทำหน้าที่คล้ายวิตามินที่ร่างกายสามารถผลิตได้เอง ทำหน้าที่ดักจับอิเลคตรอนเพื่อส่งให้ไมโตคอนเดรียผลิตพลังงานแก่เซลล์ คิวเทนถูกพบมากในอวัยวะที่ต้องการพลังงานสูง เช่น หัวใจ ตับ กล้ามเนื้อ และสมอง เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งแหล่งพลังงานสำคัญของร่างกาย ที่ช่วยให้อวัยวะสำคัญต่างๆ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และด้วยคุณสมบัติในการดักจับอิเลคตรอนนี่เอง จึงเชื่อกันว่าคิวเทนเป็นสารแอนติออกซิแดนท์ จนถูกนำมาทำเสริมอาหารในรูปแบบต่างๆ รวมทั้งเครื่องดื่ม

ในความเป็นจริง การทำงานของโคเอนไซม์คิวเทนไม่ได้เพียงแค่จับอิเลคตรอนไว้กับตัว แต่ยังส่งผ่านหน้าที่ไปยังส่วนอื่นเพื่อให้เกิดการทำงานครบกระบวน ดังนั้นในทางทฤษฎีแทนที่จะเป็นสารต้านอนุมูลอิสระเพียงอย่างเดียว โคเอนไซม์คิวเทนอาจกลายเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระเสียเองได้ ดังนั้นการบริโภคเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคิวเทน จึงไม่ช่วยต้านอนุมูลอิสระแต่จะไปเพิ่มปริมาณโคเอนไซม์คิวเทน ให้ร่างกายนำไปใช้ได้เลยโดยไม่ต้องสร้างเอง

นอกจากร่างกายของเราจะสร้างคิวเทนได้เองแล้ว ในสัตว์และพืชบางชนิดยังเป็นแหล่งอุดมโคเอนไซม์คิวเทนเช่นกัน อาทิ ปลาซาร์ดีน แมคเคอเรล แซลมอน อาหารทะเลต่างๆ เครื่องในสัตว์โดยเฉพาะหัวใจ ตับ และไต เนื้อสัตว์ รำข้าว ผลิตภัณฑ์จากถั่ว น้ำมันถั่วเหลือง และบรอคโคลี่ ส่วนแหล่งอุดมสารต้านอนุมูลอิสระจากธรรมชาติคือ ถั่วงอก โดยเฉพาะถั่วงอกหัวโตที่งอกจากเมล็ดถั่วเหลือง จะมีปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าถั่วชนิดอื่น และไม่ถูกทำลายเมื่อโดนความร้อน จึงรับประทานได้ทั้งแบบสดและสุก

คอลลาเจน (Callagen)

เป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง (scleroprotien) ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของ เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน อยู่ในรูปของไฟเบอร์ที่ประกอบด้วยสายไขมัน (peptide chain) 3 สาย ทำให้ผิวหนังมีความชุ่มชื้น ยืดหยุ่น แต่เมื่อเวลาผ่านไปความยืดหยุ่นที่เคยมีก็เสื่อมลง คงไว้แต่ความเหนียวที่เพิ่มมากขึ้น แต่อุ้มน้ำได้น้อยลง ผิวจึงแห้งเหี่ยวยับย่น และด้วยคุณสมบัติเพิ่มความยืดหยุ่นแก่ผิวหนังนี่เอง เครื่องดื่มเสริมคอลลาเจนจึงถือกำเนิดขึ้นมา พร้อมคำบรรยายสรรพคุณที่ว่าช่วยให้ผิวพรรณสวยงาม เต่งตึง แลดูอ่อนกว่าวัย

แท้จริงแล้วคอลลาเจนในเครื่องดื่มนั้นไม่สามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้โดยตรง ต้องผ่านกระบวนการย่อยเป็นโปรตีนก่อนนำไปใช้ประโยชน์ ฉะนั้นสิ่งที่จะได้รับจากเครื่องดื่มผสมคอลลาเจนจึงเป็นโปรตีนไม่ใช่คอลลาเจนอย่างที่เข้าใจ

หากอยากเพิ่มคอลลาเจนแก่ผิวแนะนำให้กินอาหารจำพวกหนังสัตว์ เช่น ขาหมู หมูพะโล้ หมูหนาว อาหารเหล่านี้หากนำไปแช่แข็งให้แยกตัวจะเห็นส่วนที่เป็นหนัง ไขมัน และชั้นวุ้นใสๆ ชัดเจน และชั้นวุ้นใสนี่เองที่เรียกว่าคอลลาเจน นอกจากนี้ควรรับประทานผักผลไม้ที่อุดมด้วยวิตามินซีซึ่งเป็นสารตั้งต้นการสังเคราะห์คอลลาเจน เช่น ฝรั่ง ส้ม เบอร์รี่และผลไม้รสเปรี้ยวทั้งหลาย เพียงเท่านี้ผิวพรรณร่างกายก็ดูสดใสสมวัยแล้ว

ซอย เปปไทด์ (Soy Peptide)

คือ โมเลกุลขนาดเล็กที่สุดของโปรตีนจากถั่วเหลือง ที่พร้อมดูดซึมเพื่อให้ร่างกายนำไปใช้งานได้อย่างเต็มที่ มีผลการทดลองเรื่องซอย เปปไทด์กับการทำงานของสมองโดยทีมวิจัยมหาวิทยาลัยโทโฮคุ ฟุกุชิ เมืองเซนได ประเทศญี่ปุ่นพบว่า กลุ่มตัวอย่างที่ได้รับซอย เปปไทด์ 4,000 มิลลิกรัม จะมีปริมาณออกซิเจนในสมองส่วนหน้าเพิ่มขึ้นและฮีโมโกลบินในเลือดเข้มข้นขึ้นด้วย อาจส่งผลดีต่อสมองส่วนหน้าที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับความรู้หรือการจดจำ

ด้วยคุณสมบัตินี้ จึงเป็นที่มาของเครื่องดื่มสกัดจากถั่วเหลืองเข้มข้นเพื่อบำรุงสมองและเพิ่มความฉลาด หากดื่มเพื่อบำรุงสมองนั้นดูจะมีความเป็นไปได้ แต่ดื่มแล้วจะฉลาดจริงหรือไม่ ยังไม่มีคำยืนยันแน่นอน เพราะสมองมนุษย์จะพัฒนาได้ดีที่สุดขณะอยู่ในครรภ์มารดา และเสริมความฉลาดเพิ่มได้ในช่วงขวบปีแรกๆ ฉะนั้น การดื่มซอย เปปไทด์ จึงไม่น่าจะช่วยให้สมองฉลาดขึ้นได้

ข้อพึงระวังคือ เครื่องดื่มที่ผสมซอย เปปไทด์มีความเข้มข้น อาจทำให้ผู้สูงอายุท้องอืด ลองดื่มน้ำนมถั่วเหลืองแทน ได้ประโยชน์พอกัน แต่ความเข้มข้นน้อยกว่า ร่างกายจึงไม่ต้องใช้พลังงานในการย่อยและดูดซึมมาก ที่สำคัญน้ำนมถั่วเหลืองนอกจากหาซื้อง่าย ราคาไม่แพงแล้ว ยังจัดเป็นสุดยอดเครื่องดื่มธัญพืชปราบมะเร็ง เพราะถั่วเหลืองมีไฟโตเอสโตรเจน ที่ออกฤทธิ์ยับยั้งการเกิดมะเร็ง ทั้งมะเร็งปากมดลูก และมะเร็งเต้านมในทั้งหญิงและชาย


ข้อมูลจาก นิตยสาร Health & Cuisine

3/16/2553

ผักพื้นบ้าน แหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระ

อนุมูลอิสระ เป็นสาเหตุสำคัญของโรคต่างๆ อาทิ โรคหลอดเลือดอุดตัน โรคหัวใจ โรคต้อกระจก โรคสมองเสื่อม ข้ออักเสบ รวมถึงความชรา และโดยเฉพาะโรคมะเร็ง ปกติร่างกายมีกลไกในการกำจัดอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นเอง แต่เนื่องจากปัจจุบันสภาวะแวดล้อมการดำรงชีวิตเปลี่ยนไป ทำให้ร่างกายมีอนุมูลอิสระเกินกว่าที่กำจัดได้ ส่วนที่ยังเหลือจึงทำความเสียหายแก่องค์ประกอบต่างๆของเซลล์ เมื่อสะสมมากๆจึงก่อให้เกิดโรคดังข้างต้น

ผักพื้นบ้านที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง คือ มันปู ยอดมะม่วงหิมพานต์ ยอดมะกอก พริกไทยอ่อน ผักกระเฉด สะระแหน่ ใบกะเพรา ขี้เหล็ก กระโดนบก ทำมัง ผักไผ่ สะเดา ผักกระถิน ใบย่านาง ติ้ว ใบมะตูม หมุย กระโดนน้ำ ตำหยาน ใบมันเทศ ลูกฉิ่ง เหงือกปลาหมอ ผักแปม มะปราง ดอกข่า ใบแมงคะ ผักเฮือด ใบมะม่วงแก้ว พังพวยน้ำ ผักขยา เม่า ซี่ปุ้ ไทรส้ม ยอดเมา หวาย สะเม็ก และมะสัง เป็นต้น
ซึ่งผักพื้นบ้านเหล่านี้ช่วยชะลอความเสื่อม และมีบทบาทในการรักษาโรคเรื้อรังที่เป็นโรคยอดนิยมได้อย่างดี ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระจากผักพื้นบ้านส่วนใหญ่เป็นผักใบเขียวจัด ที่มีวิตามินเอหรือเบต้าแคโรทีนสูงมาก ได้แก่ ยอดแคขี้เหล็ก ชะอม ยอดกระถิน ยอดตำลึง ใบชะพลู ใบยอ ใบกะเพรา ผักกะเฉด ผัดกูด ผักกุ่ม ผักเชียงดา ผักติ้ว ผักแว่น ผักหวาน เป็นต้น

หากเรารู้จักรับประทานผักแบบบรรพบุรุษไทย อาทิ นำมาจิ้มน้ำพริก รับประทานแกล้มยำ ลาบ ก็จะได้วิตามินซีไปในตัว โดยเฉพาะคนรุ่นเก่าที่รู้จักเก็บผักมารับประทานสดจะได้ปริมาณวิตามินซีสูงสุด เนื่องจากหากเก็บผักจากต้นมาทิ้งไว้ยิ่งนานเท่าใด ปริมาณวิตามินซีก็จะยิ่งลดลงไปเท่านั้น

ที่มา : ผศ.ดร.สุปรียา ยืนยงสวัสดิ์. อาหารสมุนไพรและผักพื้นบ้านสำหรับโรคมะเร็ง

5 สุดยอดอาหารบำรุงผม

ผมสวยสุขภาพดีอาจไม่ได้เกิดจากการหมัก สระ หรือบำรุง เพียงอย่างเดียว จุดเริ่มต้นของผมสวยอย่างแท้จริงนั้นต้องเริ่มต้นจากอาหารที่เรากินเข้าไปในแต่ละวัน

ผลการวิจัยล่าสุดของสถาบัน Cosmetic dermatology – The miller School of Medicine at the University Miami พบว่า อาหารบำรุงผม 5 ชนิด คือ แซลมอน ผักสีเขียว ถั่วเปลือกแข็ง ไข่ โฮลเกรน ซึ่งอุดมด้วย อัลฟ่า-ไลโนเลนิก โอเมกา-3 ธาตุเหล็ก สังกะสี วิตามินบี 12 ช่วยให้สภาพผมของกลุ่มทดลอง 100 คนที่กินอาหารดังกล่าวเป็นเวลา 5 ปี มีปัญหาผมหงอก แตกปลาย และผมแห้ง น้อยกว่าคนที่ไม่ได้กินถึง 70 เปอร์เซ็นต์ ในมื้ออาหารถัดไปคุณจึงควรจัดเมนูที่อุดมด้วยอาหารเหล่านี้เพื่อปูทางสุขภาพผมดีไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ

ข้อมูลจาก Beauty นิตยสาร Health & Cuisine

3/09/2553

เทคนิคเลือกผลิตภัณฑ์ดูแลผิวทั้งเขาและเธอ

เลือกผลิตภัณฑ์ดูแลผิวของเธอ ไม่ว่าคุณจะมีสภาพผิวแบบใด ล้วนมีโอกาสมีลักษณะของผิวแพ้ง่ายได้ทั้งหมด ดังนั้นก่อนเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ดูแลผิวให้ตั้งเกณฑ์ในใจก่อนว่า คุณมีลักษณะผิวแพ้ง่ายหรือไม่ โดยสังเกตจากผิวของคุณมีผื่นแดง มีขุยตามหัวคิ้ว ร่องแก้ม ร่องข้างจมูก หรือไม่ หากเข้าเกณฑ์ดังกล่าว ควรเลือกผลิตภัณฑ์บำรุงตามสภาพผิว ที่พ่วงคุณสมบัติปกป้องการแพ้หรือการระคายเคืองเข้าไปด้วยค่ะ

ผู้หญิงผิวแห้ง ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีความเข้มข้นประเภทเนื้อครีม เพราะจะช่วยลดการสูญเสียน้ำและเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวได้นานกว่า ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ และใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยดูแลเรื่องริ้วรอยเสริมด้วย

ผู้หญิงผิวธรรมดา ควรเลือกผลิตภัณฑ์ดูแลผิวโดยคำนึงถึงสภาพอากาศ เช่น ในช่วงอากาศปกติควรเลือกผลิตภัณฑ์ประเภทเนื้อโลชั่น เพราะไม่เหนียวเหนอะหนะ และไม่ก่อให้เกิดปัญหาผิวอุดตัน แต่หากต้องเผชิญกับอากาศที่หนาวเย็น หรืออยู่ในห้องปรับอากาศ ควรเลือกใช้ประเภทเนื้อครีม

ผู้หญิงผิวผสม นอกจากจะเลือกผลิตภัณฑ์ที่เฉพาะกลุ่มสำหรับผิวผสม ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ประเภทเนื้อโลชั่นและเนื้อเจล อาจเน้นใช้ผลิตภัณฑ์ที่ให้ความชุ่มชื่นและดูแลริ้วรอยให้แก่ผิวบริเวณนอกทีโซนด้วย

ผู้หญิงผิวมัน ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ประเภทเนื้อเจลเพราะมีส่วนผสมของน้ำ ไม่มีไขมัน และมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ที่ช่วยขจัดความมันได้ดี ที่สำคัญควรเลือกใช้ครีมกันแดดประเภทฟิสิคอล (Physical) ที่มีสาร Titanium Dioxide และ Zinc Oxide ซึ่งเมื่อทาผิวมักมีคราบสีขาวติดอยู่ที่ผิว สารกลุ่มนี้จะช่วยสะท้อนแสงออกไป มีคุณสมบัติคงตัว ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีปฏิกิริยากับผิวที่แพ้ง่ายหรือเป็นสิว

เลือกผลิตภัณฑ์ดูแลผิวของเขา แม้ผู้ชายส่วนใหญ่จะมีผิวมัน การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวสำหรับผิวมันของผู้หญิงอาจไม่ใช่เรื่องเสียหาย แต่เนื่องจากผู้ชายจะมีความมันของผิวมากกว่า ทำให้ผู้ชายมีปัญหาเรื่องสิวและรูขุมขนกว้างมากกว่า ดังนั้นจึงควรเลือกผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ชายโดยตรง เพราะจะเน้นส่วนผสมที่ป้องกันการเกิดสิวและแก้ปัญหาเรื่องรูขุมขนแบบตรงจุด ทั้งนี้หากจะเลือกซื้อผลิตภัณฑ์สำหรับผิวผู้ชายอย่าลืมที่จะพิจารณาถึงหลักพื้นฐานว่า มีลักษณะผิวแพ้ง่ายหรือไม่ แล้วจึงคำนึงถึงสองปัญหาข้างต้น

ผู้ชายเป็นสิวมาก ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่สารป้องกันการเกิดสิว มีลักษณะเนื้อบาง เหลว หรือเป็นน้ำ เช่น โลชั่น เจล และหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์เมื่อเป็นสิวแล้ว เพราะจะยิ่งทำให้สิวอักเสบยิ่งขึ้น

ผู้ชายรูขุมขนกว้าง ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ นอกจากจะช่วยลดความมันของผิว ยังช่วยให้รูขุมขนดูกระชับหลังจากใช้ผลิตภัณฑ์

ที่สำคัญ ก่อนเลือกผลิตภัณฑ์ดูแลผิวทุกครั้ง อย่าลืมว่า ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ดีที่สุด คือ ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสภาพผิวของคุณมากที่สุดนั่นเอง


ข้อมูลจาก นิตยสาร Health & Cuisine