8/06/2553

"โบท็อกซ์" อีกทางเลือกเพื่อลดริ้วรอย

การฉีดโบท๊อกซ์เพื่อลดริ้วรอยกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วในแวดวงสังคมชั้นสูงและดารานักแสดงต่างประเทศ ถึงขนาดมีงานเลี้ยงสังสรรค์ผู้ที่ได้รับการฉีดโบท๊อกซ์ ชื่อว่า "Botox Party"
แต่ในทางตรงกันข้าม ยังมีคนอีกมากที่รู้สึกกังขา และต้องการทราบข้อมูลที่ถูกต้องเพื่อช่วยในการตัดสินใจ

โบท็อกซ์ (Botox) เป็นชื่อการค้าของสารโบทูลินั่ม ท็อกซิน ชนิดเอ (Botulinum toxin type A) ที่ผลิตในสหรัฐอเมริกา ส่วนชนิดที่ผลิตในอังกฤษมีชื่อการค้าว่า ดีสพอร์ต (Dysport) แต่คนส่วนใหญ่เรียกกันว่าโบท็อกซ์จนติดปากไปเสียแล้ว

โบท็อกซ์สกัดมาจากแบคทีเรียชื่อ Clostridium Botulinum ผ่านกระบวนการทำให้บริสุทธิ์ มีฤทธิ์ช่วยคลายกล้ามเนื้อบนใบหน้าที่เป็นสาเหตุของการเกิดรอยย่น เนื่องจากการแสดงสีหน้าทางอารมณ์ซ้ำๆจนทำให้กล้ามเนื้อหดเกร็งตลอดเวลา เมื่อฉีดสารนี้แล้วกล้ามเนื้อจะคลายตัวเพราะไปยับยั้งสารเคมีที่ทำให้กล้ามเนื้อหดตัว ส่งผลให้ริ้วรอยต่างๆลดลง

ริ้วรอยที่รักษาแล้วได้ผลดี คือ ริ้วรอยบริเวณหน้าผาก รอยย่นระหว่างคิ้ว และรอยตีนกาที่หางตา นอกจากนี้ยังมีการนำโบท๊อกซ์มาใช้ฉีดยกคิ้ว ลดกรามในคนที่มีหน้าเหลี่ยม ลดกล้ามเนื้อน่องขา และลดอาการปวดศีรษะไมเกรนได้ด้วย ขณะฉีดจะรู้สึกเจ็บเพียงเล็กน้อยคล้ายมดกัด ใช้เวลารักษาประมาณ 5-10 นาที ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ต้องการฉีด หลังฉีดไม่ต้องพักฟื้น สามารถกลับไปทำงานต่อได้ทันที จะเริ่มเห็นผลหลังจากนั้นราว 2-7 วันและอยู่ได้นาน 3-4 เดือน เมื่อยาหมดฤทธิ์ริ้วรอยจะค่อยๆกลับมาเหมือนเดิม แต่ไม่แย่ลงกว่าเดิม

ผลข้างเคียงที่อาจพบได้ คือ รอยช้ำที่เกิดจากปลายเข็มฉีดยาซึ่งสามารถแต่งหน้ากลบได้ รอยจะค่อยๆหายไปเองใน 5-7 วัน นอกจากนี้ยังอาจพบกรณีคิ้วหรือหนังตาตกอันเนื่องมาจากการแพร่ของโบท็อกซ์ไปยังกล้ามเนื้อข้างเคียง ซึ่งอาการจะค่อยๆหายไปเองภายใน 3-4 สัปดาห์

การเตรียมตัวก่อนไปฉีดโบท็อกซ์ ควรงดรับประทานยาที่ทำให้เลือดแข็งตัวช้า เช่น แอสไพริน ก่อนฉีด 7 วัน เพื่อไม่ให้เกิดการช้ำมาก หลังฉีดโบท๊อกซ์ควรขยับกล้ามเนื้อที่รับการฉีดทุก 15 นาที เป็นเวลา 3 ชั่วโมง เช่น หากได้รับการฉีดที่หน้าผากให้เลิกคิ้ว ฉีดที่หว่างคิ้วให้ขมวดคิ้ว หรือฉีดบริเวณหางตาให้ยิ้ม ห้ามนอนราบหลังฉีด 3 ชั่วโมง และไม่ควรนวดหน้าในสัปดาห์แรก

ในแง่ของความปลอดภัย โบท็อกซ์ถือว่ามีความปลอดภัยสูง เพราะได้รับอนุญาตจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ปี ค.ศ.1989 เพื่อใช้ในการฉีดลดริ้วรอยเพื่อความสวยงาม

ส่วนในแง่ของสารพิษนั้น คำนวณดูแล้วปริมาณที่ใช้ในการรักษาถือว่าน้อยมากๆ จนไม่อาจเกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายต่อชีวิตได้ค่ะ

ข้อมูลจาก พญ.ปริมา เลาหธนาพร

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น