1/25/2553

ตกขาว…เรื่องคันๆที่ผู้หญิง ไม่กล้าเกา

ผู้หญิงแทบทุกคนมีตกขาว ปกติบ้าง ไม่ปกติบ้าง แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเมื่อไรควรหาหมอ เวลามีตกขาว สาวๆเคยนึกสงสัยหรือวิตกว่าตัวเองผิดปกติหรือป่วยเป็นโรคอะไรหรือเปล่า เรามีคำตอบจากคุณหมอสูติมาฝากค่ะ

ทำความรู้จักกับตกขาว

ตกขาวเป็นเยื่อบุผิวหนังภายในจุดซ่อนเร้นที่หลุดร่อนออกมาทางช่องคลอด เมื่อหมดอายุขัย(คล้ายกับขี้ไคล) ส่วนใหญ่สร้างขึ้นโดยช่องคลอด ปากมดลูกและอวัยวะข้างเคียงบริเวณปากช่องคลอด โดยเริ่มสร้างเมื่อเข้าสู่วัยรุ่นจนถึงวัยหมดประจำเดือนตามธรรมชาติ มีฤทธิ์เป็นกรด เพื่อป้องกันการติดเชื้อ

เยื่อบุผิวหนังในช่องคลอดผู้หญิงแต่ละคนมีปริมาณตกขาวไม่เท่ากัน บางคนอาจมีตกขาวมากจนเปื้อนชุดชั้นใน แต่บางคนอาจมีปริมาณน้อยจนไม่รู้ว่ามีตกขาวเลยก็ได้ และมีมากน้อยแตกต่างกันไปตามเวลาของรอบเดือน โดยช่วงประมาณวันที่ 14 ของรอบเดือนมักมีตกขาวมาก แบคทีเรียภายในก็จะเจริญเติบโตมาก ทำให้ตกขาวในช่วงนั้นมีกลิ่นเปรี้ยวได้บ้าง ถือว่าเป็นตกขาวที่ไม่ผิดปกติ


ตกขาวสุขภาพดีและตกขาวผิดปกติ

ตกขาวสุขภาพดี
· สีขาวขุ่น ลักษณะคล้ายแป้งเปียก
· ไม่มีกลิ่น อาจมีกลิ่นหวานหรือออกเปรี้ยวเล็กน้อย
· ไม่คัน ไม่ระคายเคือง ไม่มีผื่นแดงบริเวณช่องคลอด
· ปัสสาวะได้ปกติ ไม่แสบขัด
· ในช่วงกลางรอบเดือนที่มีการตกไข่ ตกขาวมีปริมาณเยอะ ลักษณะเป็นมูกใส ไม่มีกลิ่น ไม่คัน
· ขณะตั้งครรภ์ อาจมีตกขาวมากกว่าปกติ แต่ยังมีสีขาว ไม่มีกลิ่น ไม่คัน
· ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน มักมีตกขาวน้อยกว่าปกติ จากฮอร์โมนลดลง ช่องคลอดแห้ง

ตกขาวผิดปกติ
· ติดเชื้อไวรัส เช่น โรคเริมซึ่งเป็นโรคที่รักษาไม่หายขาด อาการเป็นตุ่มใสๆขนาดเล็กแล้วแตกเป็นแผลแสบ มีตกขาวสีเหลือง กลิ่นผิดปกติรุนแรง
· ติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น หนองใน ตกขาวมีสีเหลืองค่อนข้างเขียว ปัสสาวะแสบขัด และคันในบางราย
· ติดเชื้อรา ตกขาวมีลักษณะเป็นก้อนสีขาวคล้ายลิ่มนม มีกลิ่น คัน
· ติดเชื้อพยาธิ ตกขาวมีสีเหลือง อาจเห็นเป็นฟอง มีอาการคัน และมีกลิ่นเหม็นเหมือนกุ้งเน่าเล็กน้อย
· มีเนื้องอกหรือมะเร็งที่มดลูกหรือปากมดลูก ตกขาวมีกลิ่นเหม็นเน่ารุนแรง
· มีสิ่งแปลกปลอมค้างในช่องคลอด มีอาการอักเสบและติดเชื้อแบคทีเรีย ตกขาวมีสีเหลือง แสบ คัน

ตกขาวผิดปกติแล้วทำอย่างไร

ลืมเรื่องซื้อยาสอดมารักษาเองได้เลย เพราะนอกจากไม่ทำให้หายขาดแล้ว ยังอาจกลายเป็นโรคอักเสบเรื้อรังภายในหรือเชื้อโรคเกิดการดื้อยาได้ ดังนั้น หากคุณมีอาการเข้าข่ายผิดปกติ ควรปรึกษาสูตินารีแพทย์ เพื่อรับการตรวจภายใน ให้คุณหมอวินิจฉัยว่าเกิดเชื้อชนิดใด รวมทั้งรับการตรวจมะเร็งปากมดลูกประจำปีไปด้วยในคราวเดียวกันก็ไม่เสียเวลา

ส่วนสาวๆที่ไม่กล้าตรวจภายในเพราะกลัวเจ็บหรืออายหมอ ทำความเข้าใจเสียใหม่ค่ะ เพราะที่จริง หมอมีวิธีการตรวจอย่างนุ่มนวล ไม่น่ากลัว โดยเฉพาะถ้าเป็นผู้หญิงโสดที่ยังไม่เคยผ่านการมีเพศสัมพันธ์มาก่อน หมออาจเพียงใช้ไม้พันสำลีแบบคอตตั้นบัดให้เราแหย่เข้าช่องคลอดเองได้ ในกรณีที่ต้องการเพียงนำตกขาวมาตรวจ

ดูแลจุดซ่อนเร้นให้สุขภาพดี
· ทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นให้ถูกต้อง โดยทำความสะอาดเพียงภายนอกเท่านั้น ไม่สวนล้างช่องคลอดด้วยน้ำหรือน้ำยาใดๆ
· ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์
· เช็ดจุดซ่อนเร้นจากหน้าไปหลัง
· ไม่ใช้ยาปฏิชีวนะเป็นเวลานาน
· ใช้กางเกงในผ้าฝ้าย เพื่อให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก และไม่สวมกางเกงคับเกินไป
· ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพราะเมื่อร่างกายแข็งแรง ช่องคลอดจะสามารถผลิตแบคทีเรียแลคโตบาซิลัสเพิ่มขึ้น จึงสามารถป้องกันเชื้อโรคอื่นๆ ที่ทำให้เกิดตกขาวผิดปกติได้มากขึ้น


ข้อมูลจาก นิตยสารสุขภาพดี

1/20/2553

โรคอ้วนลงพุง...มฤตยูร้ายทำลายสุขภาพ


คนส่วนใหญ่มักมีน้ำหนักเพิ่มมากขึ้นอย่างมากเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น การมีน้ำหนักเกินจากเกณฑ์มาตรฐาน อาจเป็นที่มาของ โรคอ้วนลงพุง หรือ Metabolic Syndrome ซึ่งโรคนี้เป็นกลุ่มปัจจัยเสี่ยงทาง เมตาบอลิก ประกอบด้วย อ้วนลงพุง (ไขมันในช่องท้องมากเกิน) ภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ (ไตรกลีเซอไรด์สูง, เอชดีแอลคอเลสเตอรอลต่ำ และ แอลดีแอลคอเลสเตอรอลสูง) ความดันโลหิตสูง ระดับน้ำตาลในเลือดผิดปกติ

สำหรับเกณฑ์ในการวินิจฉัยนั้น The National Cholesteral Education Program (NCEP) Adult Treatment Panel II (ATP III), American Heart association (AHA) และ The National Heart, Lung, and Blood Institute เสนอแนะว่าหากมีปัจจัยเสี่ยง 3 ใน 5 อย่างต่อไปนี้จัดเป็น metabolic Syndrome ได้แก่ เส้นรอบวงเอวสำหรับคนเอเชีย ผู้ชายเท่ากับหรือ มากกว่า 90 เซนติเมตร ผู้หญิงเท่ากับหรือมากกว่า 80 เซนติเมตร ระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือด เท่ากับหรือมากกว่า 150 มก./ดล. เอชดีแอลคอเลสเตอรอล (ผู้ชาย- น้อยกว่า 40 มก./ดล, ผู้หญิง - น้อยกว่า 50 มก/ดล) ความดันโลหิต เท่ากับหรือมากกว่า 130/85 มม.ปรอท ระดับน้ำตาลในเลือด เท่ากับหรือมากกว่า 100 มก/ดล.พญ.รัชดา เกษมทรัพย์ ชมรมโภชนวิทยามหิดล เปิดเผยว่า โรคอ้วนลงพุง หรือ Metabolic Syndrome เป็นฆาตกรเงียบที่หลายคนคาดไม่ถึง ส่วนใหญ่เกิดจากพฤติกรรมการบริโภค กรรมพันธุ์ และการไม่ออกกำลังกาย คนที่อ้วนลงพุงจะมีไขมันสะสมในช่องท้องมากเกินไป ซึ่งไขมันที่สะสมนี้จะแตกตัวเป็นกรดไขมันอิสระเข้าสู่ตับ มีผลให้อินซูลินออกฤทธิ์ได้ไม่ดี เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน จนเกิดเป็นภาวะอ้วนลงพุง ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคเรื้อรังต่างๆ ตามมา เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง เบาหวาน เป็นต้น ซึ่งเราสามารถวางแผนการรับประทานอาหารด้วยการควบคุมน้ำหนัก ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินให้ถูกชนิด ปริมาณ และถูกเวลา รวมทั้งเคลื่อนไหวร่างกายให้มากขึ้น

แม้ว่าไขมันจะเป็นสาเหตุของการเกิดโรคร้ายต่างๆ แต่ไขมันเป็นสารอาหารสำคัญที่ร่างกายขาดไม่ได้ ทั้งยังเป็นส่วนประกอบในอาหารทุกมื้อจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก อ.ศัลยา คงสมบูรณ์เวช นักกำหนดอาหารขึ้นทะเบียนวิชาชีพประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้ให้การปรึกษาด้านโภชนบำบัด ได้แนะนำว่า ในสมัยก่อนนักโภชนาการส่วนใหญ่จะแนะนำให้ผู้บริโภคทานอาหารที่มีไขมันต่ำ จนทำให้หลายคนกลัวการกินไขมัน แต่กลับบริโภคอาหารคาร์โบไฮเดรตมากขึ้น บางคนไม่กินไขมันหรือกินน้อยมากจนทำให้ขาดกรดไขมันจำเป็นไปเลยก็ว่าได้ แต่ในปัจจุบันมีข้อมูลการวิจัยใหม่ๆ แนะการเลือกชนิดของไขมันหรือน้ำมันที่ดี ในปริมาณที่เหมาะสมกับพลังงานที่ใช้ไปในชีวิตประจำวัน เพื่อลดความเสี่ยงโรคได้ น้ำมันที่ดีที่ควรรับประทาน ควรมีองค์ประกอบของกรดไขมันอิ่มตัวต่ำและไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียวสูง ได้แก่ น้ำมันมะกอก น้ำมันเมล็ดชา น้ำมันคาโนลา เป็นต้น ซึ่งจะช่วยลดระดับคอเลส เทอรอลโดยไม่ลดเอชดีแอล ช่วยลดไตรกลีเซอไรด์ได้ และสามารถนำไปใช้แทนคาร์โบไฮเดรตได้ด้วย

“น้ำมันเมล็ดชา” มีใช้ในราชวงศ์ซ้องของจีนมากว่า 2,300 ปี โดยได้มีการบันทึกคุณสมบัติด้านสุขภาพไว้ว่าช่วยลดคอเลสเทอรอล ปัจจุบันมีกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และการวิจัยถึงคุณสมบัติที่ดีของน้ำมันเมล็ดชา พบว่าน้ำมันเมล็ดชามีสัดส่วนกรดไขมันชนิดต่างๆ ในปริมาณที่ดีไม่ด้อยไปกว่าน้ำมันมะกอก คือ มีกรดไขมันอิ่มตัวต่ำ มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียวในรูปของกรดโอเลอิกสูงถึง 88% มีกรดไขในไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่งในรูปของโอเมกา 6, 3 เป็นต้น นอกจากนี้ ยังอุดมด้วยวิตามินเอ บี ดีและอีสูง ซึ่งวิตามินอีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระจึงช่วยยืดอายุการใช้งานของน้ำมันให้นานขึ้น และมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง คือสารแคททีชิน ซึ่งเป็นสารโพลีฟีนอลที่ช่วยลดการออกซิเดชั่นของแอลดีแอล จึงช่วยป้องกันหลอดเลือดตีบตัน และป้องกันการอักเสบของเนื้อเยื่อ ลดอนุมูลอิสระ จึงช่วยลดความเสี่ยงปัญหาสุขภาพ และน้ำมันเมล็ดชา สามารถนำไปประกอบอาหารได้หลากหลายชนิด เช่น น้ำสลัด ผัด ทอด หรือการหมัก เป็นต้น อย่างไรก็ตาม การใช้น้ำมันจะต้องเลือกชนิดและอ่านฉลากข้อมูลโภชนาการให้ละเอียด รวมทั้งรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ในสัดส่วนที่เหมาะสม เน้นผักผลไม้ที่มีกากใยมากๆ และต้องออกกำลังกายควบคู่ไปด้วยจึงจะช่วยส่งเสริมสุขภาพ ลดความเสี่ยงโรคร้าย และห่างไกลภาวะอ้วนลงพุง


ที่มา : ดร. อภิสิทธิ์ ฉัตรทนานนท์ ประธานมูลนิธิคุณแม่คุณภาพ

เคล็ดลับ แก้รักแร้ดำ

บางคนดูแลใต้วงแขนอย่างดี ก็ยังมีรักแร้ดำคล้ำ แต่บางคนไม่ต้องดูแลอะไรเลยก็อาจมีใต้วงแขนขาวได้ ทั้งนี้เพราะผู้หญิงแต่ละคนมีผิวที่ตอบสนองต่อปัจจัยกระตุ้นไม่เท่ากัน

สาเหตุที่ทำให้รักแร้ดำแบ่งเป็น ปัจจัยภายในและภายนอก โดยปัจจัยภายในข้อแรกเป็นเรื่องของพันธุกรรม เป็นผิวประเภทมีลักษณะอักเสบแพ้ง่ายหรือแห้งง่าย สองคือ เป็นคนรูปร่างอวบอ้วน สังเกตว่าผิวหนังบริเวณบริเวณที่เป็นข้อพับ เช่น ข้อศอก หรือขาหนีบ มักมีสีคล้ำกว่าบริเวณอื่น เพราะมีการเสียดสีกันตลอดเวลา ดังนั้นยิ่งรูปร่างอ้วนเท่าไร โอกาสที่รักแร้จะดำคล้ำยิ่งมากขึ้นเท่านั้น เพราะเป็นบริเวณที่อับชื้นและมีการเสียดสี ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการคัน ระคายเคืองตามมา

ปัจจัยภายในข้อสุดท้ายคือ มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน โรคผิวหนังอักเสบเรื้อรัง ผู้ป่วยโรคเบาหวานมักติดเชื้อได้ง่าย ผิวหนังอักเสบง่าย และลุกลามไปถึงใต้วงแขน ทำให้มีสีดำคล้ำผิวหนาเป็นรอยย่นเหมือนกำมะหยี่

ปัจจัยภายนอกคือ เกิดจากสิ่งกระตุ้น เช่น เครื่องสำอางหรือโรลออนที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์หรือส่วนผสมที่ทำให้แพ้ง่าย หรือน้ำหอม ของพวกนี้ใช้บ่อยๆก็สามารถทำให้รักแร้ดำง่าย เนื่องจากเป็นการตอบสนองของร่างกาย

ปัจจัยภายนอกอีกปัจจัยหนึ่ง คือ การถอนขนรักแร้ บางคนถอนแล้วไม่เป็นไรแต่บางคนถอนแล้วรูขุมขนอุดตัน เกิดการอักเสบ บวมแดง และมีสีคล้ำภายหลัง

การแก้ไขทำได้โดยการหลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้เกิดรักแร้ดำ เช่น ลดน้ำหนัก หันไปใช้เครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์ใต้วงแขนที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ ไม่มีกรด (สังเกตว่าโดยมากผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำหอมมักทำให้เกิดอาการแพ้ได้ง่าย) ซึ่งปัจจุบันมีวางขายตามร้านขายยาทั่วไป โดยราคาอาจสูงกว่าปกติเล็กน้อย หรือเปลี่ยนไปใช้วิธีกำจัดขนใต้วงแขนวิธีอื่น เช่น การแว็กซ์ หรือยิงเลเซอร์ซึ่งเป็นการกำจัดขนถาวร

การใช้เลเซอร์เป็นการยิงเลเซอร์กำจัดขนทีละจุด ช่วยยับยั้งการผลิตเม็ดสีผิว ช่วยปรับจากสีเข้มให้จางลงได้ เป็นการแก้ปัญหาจากภายในชั้นผิวหนัง ปัจจุบันถือเป็นวิธีที่แพร่หลาย ไม่เป็นอันตรายและแทบไม่มีผลข้างเคียง อาจรู้สึกเจ็บในระยะแรกที่ทำเท่านั้น แต่ข้อเสียคือค่าใช้จ่ายที่สูง และไม่รับประกันผล 100% อาจได้ผลสำหรับบางคนและไม่ได้ผลกับบางคน

สำหรับคนที่ชอบวิธีธรรมชาติ อันดับแรกให้หลีกเลี่ยงการใช้สารส้มเพราะมีฤทธิ์เป็นกรดซึ่งอาจกระตุ้นให้เกิดการแพ้ของบริเวณเนื้ออ่อนของรักแร้ทำให้รักแร้ดำ แม้ช่วยดับกลิ่นได้ก็ตาม จากนั้นเวลาอาบน้ำ ระหว่างฟอกสบู่ใหใช้ที่ขัดผิวขัดบริเวณรักแร้เบาๆ เพื่อขจัดเซลล์ผิวหมองคล้ำออกไปได้บ้าง อาจใช้นมผสมน้ำผึ้ง หรือนมผสมน้ำมะขามเปียกขัดเบาๆ แล้วล้างด้วยสบู่ให้สะอาด หลังอาบน้ำและเช็ดตัวแห้งแล้ว แนะนำให้ใช้ครีมประเภทไวเทนนิ่ง (สำหรับทาหน้า) ทาบริเวณใต้วงแขนและผึ่งให้แห้ง สุดท้ายทาแป้งฝุ่นทับเพื่อลดการเสียดสี ซึ่งเป็นอีกวิธีที่ช่วยให้รักแร้ขาวขึ้นได้ แต่ต้องใช้เวลานานเป็นเดือนหรือครึ่งปี จึงเห็นผล

สำหรับผลิตภัณฑ์ใต้วงแขนที่โฆษณาว่าช่วยให้รักแร้ขาวขึ้นได้จริงหรือไม่นั้น ขอบตอบว่าเป็นไปได้ หากผลิตภัณฑ์นั้นมีส่วนผสมของไวเทนนิ่ง และมีการใส่ผงแป้งลดการเสียดสีใต้วงแขนรวมทั้งป้องกันยูวีได้ แต่ใช้เวลานานกว่าจะเห็นผล คือตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป และแนะนำให้เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นแท่งครีมมากกว่าลูกกลิ้ง เพราะมีการเสียดสีน้อยกว่า


ข้อมูลจาก นิตยสารสุขภาพดี

1/14/2553

นอนกัดฟัน

บางคนนอนกัดฟันเสียงดังมากในเวลาหลับ ส่วนใหญ่มาจากสองสาเหตุ อย่างแรกคือ จิตใจที่ตึงเครียด ซึ่งทันตแพทย์จะแนะนำให้ไปปรึกษาจิตแพทย์เพื่อค้นหาสาเหตุ และให้คำแนะนำแก้ไขปรับปรุงการดำเนินชีวิตประจำวัน

อีกสาเหตุหนึ่งมาจาก การสบฟันที่ผิดปกติ คือ ฟันบนและล่างสบกันไม่ดี แก้ไขโดยการจัดฟันที่อยู่ผิดตำแหน่ง โดยต้องบูรณะฟันธรรมชาติที่เหลืออยู่ให้มีสภาพสมบูรณ์ ผู้ป่วยที่นอนกัดฟันทั้งสองสาเหตุ ทันตแพทย์จะทำ ยางกันฟัน ให้ผู้ป่วยใส่นอนเพื่อป้องกันฟันสึก และตัดวงจรการสัมผัสของฟันบนและฟันล่าง ซึ่งจะลดอาการนอนกัดฟันได้

ข้อมูลจาก นิตยสารสุขภาพดี

1/06/2553

รู้จักกับไข้เลือดออก

สาเหตุของไข้เลือดออกมาจากเชื้อไวรัส ซึ่งเป็นพี่น้องกับเชื้อไวรัสที่ทำให้เป็นไข้หวัดทั่วไป อาการหลังรับเชื้อ 2-3 วันแรกจึงเหมือนกับไข้หวัดทุกอย่าง โดยมียุงลายเป็นพาหะนำโรค ซึ่งหากินตอนกลางวันเท่านั้น จะไข่และแพร่พันธุ์ตามน้ำขัง เช่น ตามกระถางต้นไม้ ร่องน้ำ แจกันดอกไม้ น้ำเน่า น้ำคลอง เมื่อกลายเป็นยุงก็นำเชื้อไวรัสมาสู่คน แต่ไม่ติดจากคนสู่คน ติดจากยุงเท่านั้น เมื่อร่างกายรับเชื้อแล้วจะมีไข้ ปวดเมื่อยตามตัว อาจคลื่นไส้ มีน้ำมูก ไอ เจ็บคอได้ สิ่งที่สำคัญอันดับแรกในการวินิจฉัยโรค คือ การเช็คประวัติว่าถูกยุงกัดหรือไม่ บริเวณบ้านมีน้ำเน่าหรือน้ำขังที่เป็นแหล่งอาศัยของยุงหรือเปล่า

สิ่งที่พิสูจน์ได้ชัดเจนและน่าเชื่อถือที่สุดของการตรวจพบเชื้อไข้เลือดออกคือ การตรวจเลือด โดยถ้ามีไข้ต่อเนื่องกันเกิน 48 ชั่วโมง ควรเข้ารับการตรวจเลือดทันที ส่วนอาการมักรุนแรงกว่าไข้หวัดทั่วไป คือ มีอาการคลื่นไส้อาเจียน ไม่อยากอาหาร ปวดเมื่อยตามตัวมาก ไข้ขึ้นสูง ถ้าเป็นเด็กจะมีอาการซึม ไม่ค่อยเล่น รวมทั้งอาจมีอาการปวดบริเวณใต้ลิ้นปี่ ปวดเสียดท้องจากเลือดออกในกระเพาะอาหารร่วมด้วยได้

อาการแทรกซ้อน

ทางการแพทย์เชื่อว่าผู้ป่วยมีโอกาสเลือดออกในกระเพาะอาหารอยู่แล้ว แต่อาจออกไปเยอะ แค่อาการปวดท้องใต้ลิ้นปี่ธรรมดาก็เตือนเราแล้วว่าอาจมีปัญหาแทรกซ้อนจากโรคไข้เลือดออก แต่หากถึงขั้นอาเจียนเป็นเลือด หรือถ่ายเป็นยางมะตอย (มูกสีดำ) แสดงว่ามีเลือดออกในกระเพาะอาหารมาก อาการถึงขั้นรุนแรงแล้ว ต้องรีบพบแพทย์ด่วน อาการรุนแรงที่สุดของไข้เลือดออก คือ มีอาการแทรกซ้อน เช่น เลือดออกในกระเพาะอาหาร เลือดออกในสมอง เลือกออกไม่หยุด เลือดออกจากทวารทั้งเจ็ด ซึ่งถึงขั้นเสียชีวิตได้ในที่สุด

การรักษา

การรักษาไข้เลือดออก ไม่สามารถรักษาเองที่บ้านได้ ต้องไปพบแพทย์เท่านั้น ไข้เลือดออกมีหลายระดับ หากเป็นระดับธรรมดา ตามทฤษฎีแล้วหายได้เอง เพียงผู้ป่วยกินยาลดไข้ พักฟื้นดูอาการที่บ้านได้ แต่ต้องให้แพทย์วินิจฉัยและตัดสินใจ ไม่ควรปล่อยให้ติดเชื้อนานกว่า 3-4 วัน เพราะจะเริ่มมีผลแทรกซ้อน เกล็ดเลือดต่ำ ถึงขั้นภาวะช็อคได้ซึ่งเป็นอันตรายมาก

ระยะอันตรายของโรคนี้ตรงข้ามกับโรคอื่นตรงที่ โรคอื่นช่วงที่มีไข้เป็นช่วงที่อันตราย พอไข้ลงก็หาย แต่ไข้เลือดออกช่วงที่มีไข้ ผู้ป่วยอาจดูซึม ย่ำแย่ แต่ยังปลอดภัย เพราะจุดที่อันตรายของไข้เลือดออกอยู่ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ไข้ลง เนื่องจากช่วงที่ไข้ลงจะมีภาวะการตีบกลับของน้ำของเลือดในร่างกาย ทำให้อาจเกิดภาวะช็อคได้ ดังนั้น จึงมีหลักการรักษาด้วยน้ำเกลือ ซึ่งต้องอยู่ในดุลพินิจของแพทย์ ส่วนการรักษาอื่นๆ เหมือนการรักษาโรคไข้หวัดทั่วไป เป็นการรักษาตามอาการ เป็นไข้กินยาลดไข้ มีน้ำมูกกินยาลดน้ำมูก ไอ หรือเจ็บคอก็กินยาแก้ตามนั้น

ข้อมูลจาก นพ. วชิระ คุณาธาทร
นิตยสารสุขภาพดี

1/04/2553

ปรับพฤติกรรม กำจัดกลิ่นตัว

ปกติแล้วทุกคนจะมีกลิ่นกายเฉพาะตัว ซึ่งเป็นกลิ่นธรรมชาติ กลิ่นตัวนั้นเกิดจากการที่ต่อมของร่างกายขับเหงื่อและไขมันออกมาทางผิวหนัง ทำให้เกิดความชื้น ส่งผลให้เกิดการเปื่อยยุ่ยและลอกออกของผิวหนัง จากนั้นแบคทีเรียและเชื้อราก็จะกินเซลล์ที่ตายแล้วและขับกรดออกมา ทำให้เกิดกลิ่นเหม็น

บริเวณที่มักขับเหงื่อออกมามากที่สุดคือที่อับชื้น ได้แก่ รักแร้ ซอกขา ซอกนิ้วเท้า ข้อพับต่างๆ อวัยวะเพศ แต่ด้วยเป็นจุดอับ เวลาเหงื่อออกจึงระเหยไปได้ยาก ทำให้เกิดการหมักหมมเป็นกลิ่นเหม็น กลิ่นตัวของคนจะแรงขึ้นเมื่อย่างสู่วัยรุ่น เนื่องจากอิทธิพลของฮอร์โมนเพศ

นอกจากนี้อาหารบางชนิด เช่น ไขมันจากสัตว์ เนื้อสัตว์ สะตอ กระเทียม หัวหอม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ ตลอดจนยาบางชนิดก็อาจเป็นสาเหตุการเกิดกลิ่นตัวได้เช่นกัน เช่น การใช้ยารักษาสิวทั่วไปที่มี สารเบนซอยล์เพอร็อกไซด์ (Benzoyl Peroxide) ผสมอยู่เป็นประจำ รวมถึงโรคประจำตัวอื่นๆ ทั้งท้องผูก ตับอักเสบ ไต เบาหวาน พยาธิในระบบทางเดินอาหาร และมะเร็ง ก็เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดกลิ่นตัวเช่นกัน โดยทั่วไปกลิ่นตัวมักหายไปเองเมื่ออาบน้ำ หรือแม้กระทั่งการใช้สารพัดผลิตภัณฑ์ดับกลิ่น

ปรับพฤติกรรมกำจัดกลิ่น

- รักษาความสะอาดร่างกายและเสื้อผ้า
- ผ่อนคลายความเครียด บางครั้งความเครียดก็มีส่วนทำให้เกิดกลิ่นตัวได้เหมือนกัน เพราะร่างกายจะหลั่งสารอะดรีนาลินออกมา
- ทำดีท็อกซ์ การสะสมสารพิษในร่างกายก็เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดกลิ่นตัวเช่นเดียวกัน ปัญหานี้แก้ได้ด้วยการทำดีท็อกซ์
- ไม่ควรขัดผิวบ่อยๆ เพราะจะทำให้แบคทีเรียที่มีประโยชน์กับร่างกายถูกทำลาย ทำให้เกิดกลิ่นตัวง่าย ดังนั้นขัดผิว 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ก็พอ

ลดปัญหากลิ่นตัวด้วยอาหาร

- กินอาหารหลากหลาย กินโปรตีนจำพวกธัญพืชต่างๆ ผักสดทั้งใบเขียวและใบเหลือง ผลไม้สด
- เลี่ยงการกินอาหารที่มีกลิ่นแรง เช่น กุยช่าย ขิงสด สะตอ หัวหอม กระเทียม และเครื่องเทศต่างๆ รวมถึงเลี่ยงการสูบบุหรี่และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
- เลี่ยงอาหารก่อพิษ จำพวกเนื้อสัตว์ใหญ่ ทั้งหมู เนื้อ ไก่ ไข่ และตับ รวมทั้งช็อกโกแลต ลูกเกด ถั่วลิสง เพราะจะทำให้ต่อมไขมันใต้ผิวหนังขับไขมันออกมามาก โดยเฉพาะใต้วงแขน และที่สำคัญ จะก่อให้เกิดสารตกค้างในลำไส้ ทำให้เหงื่อมีกลิ่นเฉพาะตัว


ข้อมูลจาก ศรีสุภา ส่งแสงขจร