11/15/2554

โรคน้ำกัดเท้า ภัยที่มากับน้ำท่วม

สถานการณ์น้ำท่วมในปัจจุบันส่งผลต่อปัญหาสุขภาพในหลายด้าน สำหรับคนที่ต้องลุยน้ำหรือย่ำน้ำสกปรกซึ่งอาจมีเชื้อโรคปะปนอยู่ มักเกิดโรคผิวหนังที่เรียกว่า “โรคน้ำกัดเท้า”

โรคน้ำกัดเท้าคืออะไร

โรคน้ำกัดเท้าเป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่ง มักพบในคนที่ต้องลุยน้ำและแช่น้ำเป็นเวลานาน บริเวณเท้าจึงมีความชื้นอยู่ตลอดเวลา ทำให้เกิดอาการเท้าเปื่อย ลอก คัน และแสบ และอาจมีโอกาสติดเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราตามมาได้

อาการของโรคน้ำกัดเท้า

อาการของโรคน้ำกัดเท้าแบ่งออกเป็น 2 ระยะ ได้แก่
· ระยะแรก ผิวหนังบริเวณเท้าจะมีลักษณะเปื่อย แดง ลอกเนื่องจากการระคายเคือง โดยยังไม่มีการติดเชื้อ แต่หากมีอาการคันและเกาจนเกิดแผลถลอกก็มีโอกาสที่จะติดเชื้อได้ง่ายขึ้น

· ระยะที่สอง เป็นระยะที่ผิวหนังเปื่อยและลอกเป็นแผล ทำให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อรา โดยการติดเชื้อแบคทีเรียทำให้เกิดอาการอักเสบ บวมแดง เป็นหนอง และปวด ส่วนการติดเชื้อราจะทำให้มีอาการคัน ผิวเป็นขุยและลอกออกเป็นแผ่นสีขาว โดยเฉพาะตามซอกเท้า

การป้องกันคือหัวใจสำคัญของโรคน้ำกัดเท้า

ในช่วงเวลาที่น้ำท่วมในหลายๆ พื้นที่นี้ อาจเป็นการยากที่จะหลีกเลี่ยงการลุยน้ำ การป้องกันโรคน้ำกัดเท้าโดยการรักษาความสะอาดของเท้าและทำให้เท้ามีความชื้นน้อยที่สุดจึงเป็นเรื่องสำคัญ

· หลีกเลี่ยงความชื้น ไม่ใส่รองเท้าและถุงเท้าที่เปียกชื้นเป็นเวลานาน ควรซักถุงเท้าให้สะอาดและตากให้แห้งก่อนนำมาใช้ทุกครั้ง

· ป้องกันเมื่อลุยน้ำ สวมรองเท้าบูททุกครั้งที่ลุยน้ำ ถ้าระดับน้ำสูงเกินกว่าขอบรองเท้าให้ใช้ถุงดำครอบแล้วใช้หนังยางรัดไว้ หากน้ำเข้ารองเท้าให้หมั่นเทน้ำออกเป็นระยะๆ

· รักษาความสะอาด หลังจากลุยน้ำให้รีบล้างเท้าให้สะอาดด้วยน้ำและสบู่ เช็ดให้แห้งโดยเฉพาะบริเวณซอกเท้า และใช้แป้งฝุ่นโรยบริเวณเท้าและซอกเท้าเพื่อให้เท้าแห้งสนิท

· ดูแลแผล หากมีบาดแผลบริเวณเท้า เช็ดแผลด้วยแอลกอฮอล์ และใส่ยาฆ่าเชื้อ เช่น โพวิโดนไอโอดีน และหลีกเลี่ยงไม่ให้แผลสัมผัสกับน้ำสกปรกที่ท่วมขัง

รักษาโรคน้ำกัดเท้าให้ถูกวิธี

การรักษาโรคน้ำกัดเท้าจะพิจารณาตามระยะของโรค ดังนี้
· ระยะแรก ยังไม่จำเป็นต้องใช้ยาฆ่าเชื้อรา เนื่องจากยังไม่มีการติดเชื้อ อาจทายาสเตียรอยด์อ่อนๆ หรือยาขี้ผึ้งวิทฟิลด์ (Whitfield’s ointment) ทาบริเวณที่เป็นวันละ 3 ครั้งได้ แต่ยาขี้ผึ้งวิทฟิลด์อาจทำให้ระคายเคืองบริเวณที่ทา จึงควรหลีกเลี่ยงการทาในบริเวณที่มีแผลเปิด

· ระยะที่สอง การติดเชื้อแบคทีเรีย ถ้าเป็นการติดเชื้อที่ไม่รุนแรง ให้ทำความสะอาดบริเวณแผลด้วยน้ำเกลือ แอลกอฮอล์ และใส่ยาฆ่าเชื้อ เช่น โพวิโดนไอโอดีน แต่หากเป็นการติดเชื้อเรื้อรังและรุนแรง ควรรีบไปพบแพทย์

- การติดเชื้อรา สามารถเลือกใช้ยาทาต้านเชื้อราหรือยาขี้ผึ้งวิทฟิลด์ก็ได้ แต่การรักษาการติดเชื้อรามักใช้เวลานาน จึงควรใช้ยาอย่างต่อเนื่อง ไม่ควรหยุดใช้ยาเองแม้ว่าอาการจะดีขึ้นเพราะอาจมีโอกาสกลับเป็นซ้ำได้อีก โดยทั่วไปมักต้องทายาต่อเนื่องหลังจากอาการเป็นปกติแล้วอย่างน้อย 2-4 สัปดาห์ หากมีอาการรุนแรงควรไปพบแพทย์
ในช่วงเวลาเช่นนี้ นอกจากการดูแลสุขภาพตัวเองในด้านอื่นๆ แล้ว การดูแลเท้าของตัวเองก็เป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน หากสามารถรักษาความสะอาดของเท้าได้เป็นอย่างดี ก็สามารถป้องกันตัวเองจากโรคน้ำกัดเท้าได้ไม่ยาก
 
ขอบคุณข้อมูลจาก Scott Minteer:  www.bumrungrad.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น